จะของอะไรก็ต้องส่งไปให้ได้ทุกที่ คอนเซปต์ธุรกิจของ JD.com
“พวกเราไม่ต้องการสายส่งอย่างที่เป็นอยู่ แต่เราต้องการช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการสายส่งที่ดียิ่งกว่าที่มีในเวลานี้”
Zhang Chen CTO ของ JD ได้กล่าวไว้
เมื่อกล่าวถึง JD.com เราทราบกันว่าพวกเขาเป็น Platform E-Commerce อันดับ 2 ของจีน ซึ่งเวลานี้ต้องยอมรับว่าพวกเขาเริ่มกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาด E-Commerce ระดับโลก
เมื่อมาดูแนวทางการตลาดของพวกเขาจะค่อนข้างคล้ายกับ Amazon โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆและระบบ Logistic เพื่อพัฒนาการส่งสินค้าที่สั่งทางออนไลน์ไปถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเป็นแหล่งขายสินค้าที่หลากหลายประเภท รวมถึงของหายากต่างๆด้วย
ยิ่งหลังจากได้แบ็กอัพใหญ่อย่าง Tencent เข้ามาร่วมด้วยแล้ว ทำให้พวกเขาได้ยกระดับธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าไปจับกลุ่มแบรนด์หรูจากตะวันตก ซึ่งเป็นตลาดที่คู่แข่งอย่าง Alibaba ที่มีเว็บไซต์ Tmall เป็นช่องทางเบอร์ 1 ในด้านนี้อยู่
แนวทางคิดข้อหนึ่งที่ Zhang Chen ประกาศคือ จะใช้วิธีไหน ไม่สำคัญ ขอเพียงนำสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้โดยตรงและในราคาที่รับได้ที่สุด เพราะเอาเข้าจริงแล้ว คนซื้อไม่ได้สนใจหรอกว่า จะใช้แบบออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือจะใช้แบบผสมผสานกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องการคือนำเสนอสิ่งที่ดีกว่าให้ลูกค้า
แนวคิดนี้จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ JD ลงทุนไปมากกับเรื่องของระบบขนส่งและบุคลากรต่างๆ รวมถึงการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในด้าน Logistic ปัจจุบันมีวิศวกรด้านคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์มากกว่า 12,000 คนที่ทำงานอยู่ในประเทศจีนและใน Silicon Valley ซึ่งทาง JD ก็คาดว่าจะได้เพิ่มบุคลากรมากขึ้นอีก เพื่อทำให้ Platform ของพวกเขาสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้สูงสุด
JD จึงถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวและมาแรงสำหรับ Alibaba รวมถึงเป็นหนึ่งในแนวป้องกันการบุกเข้ามาของ Amazon ในประเทศจีนด้วย
#คิดถึงการตลาดจีน คิดถึง Level Up Thailand#
ต้องการตรวจความพร้อมก่อนบุกตลาดจีน สามารถอ่านบทความ
“ตรวจความพร้อมก่อนไปตลาดจีน” ได้ที่
หรือ อยากทราบภาพรวมของการตลาดออนไลน์จีนสามารถอ่านบทความ
“บุกตลาดจีนด้วยการตลาดออนไลน์จีน” ได้ที่
ต้องการคำปรึกษาหรือดูบริการแพ็คเกจบริการการตลาดจีนเริ่มต้นได้ที่
ทั้งนี้ถ้าต้องการให้เราเขียนเพิ่มเติมด้านไหนสามารถ Comment มาได้เลยนะครับ
