บุกตลาดจีนด้วยการตลาดออนไลน์จีน ฉบับเต็ม
วิธีทำการตลาดออนไลน์จีน เพิ่มยอดขายและดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนอย่างมืออาชีพ พวกเราทุกคน คงทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศจีนคือประเทศมหาอำนาจแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งมีการเติบโตอย่างเป็นที่น่าจับตามอง ประเทศจีนถือว่าเป็นม้ามืดที่สร้างตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
สามารถแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันได้ตัวเลขที่น่าสนใจคือ ตอนนี้อเมริกาเป็นหนีประเทศจีนอยู่ 1.241 ล้านล้านดอลล่าร์ หรือเท่ากับประมาณ 3 เท่าของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ของไทยเสียอีก
เนื่องด้วยวิกฤติในอเมริกาในปี 2551 และ ยุโรปในปี 2552 ทำให้จีนนั้นสามารถพลิกตัวเองขึ้นมายืนด้วยลำแข่งตัวเองและเป็นที่โดดเด่นของโลกเศรษฐกิจได้
การขึ้นมาของอำนาจประเทศจีนทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถเมินเฉยได้ ประเทศจีนนั้นใหญ่มาก และมีประชากรมากถึง 1,357 ล้านคน คนซึ่งมากกว่าประเทศไทย 20 เท่าตัว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายอยากจะจับโอกาสทางธุรกิจนี้
มีหลายคนเห็นโอกาส แต่น้อยคนที่จะสามารถบุกตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ดูง่ายๆเลยคือมีสินค้าไทยหลายอย่างที่เป็นคนจีนนิยม คนจีนชอบสินค้าไทยมากโดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับการนวดและสปา งานหัตถกรรมต่างๆ รวมถึงเครื่องสำอาง และขนมขบเคี้ยว แต่มีผู้ประกอบการไทยน้อยรายมากที่สามารถวางขายและเป็นที่รู้จักในประเทศจีน แปลว่าจีนเป็นตลาดที่น่าสนใจ แต่เจาะตลาดเข้าไปยากมากเพราะตลาดจีนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นประเทศปิดที่ไม่เปิดรับวัฒนธรรมและธุรกิจภายนอกมากนัก รวมถึงการปลูกฝังความคิดของการรักชาติให้แก่ประชาชน ทำให้ผู้ประกอบการจีนไม่หวังพึ่งสินค้านำเข้าจากต่างประเทศโดยบางที่ก็สร้างสินค้าและธุรกิจในรูปแบบคล้ายคลึงกับของต่างประเทศเพื่อมาใช้ทดแทน ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนต่างชาติส่วนใหญ่มองคนจีนว่าเป็นสุดยอดฝีมือของการก๊อปปี้เลียนแบบ ยกตัวอย่างง่ายง่ายเช่นโทรศัพท์มือถือ Samsung และ iPhone ซึ่งทางบริษัทจีนได้สร้างโทรศัพท์ที่มีความคล้ายคลึงกับสองบริษัทนี้แต่ราคาถูกกว่าครึ่งต่อครึ่งซึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก หรือแม้กระทั่งยี่ห้อรถแปลกๆในจีนมากมายที่ประเทศอื่นไม่เคยเห็น เนื่องด้วยความสามารถในการผลิตสินค้าราคาถูกและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งความรักชาติสามัคคีของจีนหมู่มาก ทำให้คนจีนส่วนใหญ่สนับสนุนสินค้าและบริการของบริษัทยักใหญ่ของจีนก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์และสินค้าของบริษัทต่างชาติ
ในด้านของการตลาดออนไลน์จีนและโซเชียลมีเดียจีนก็เหมือนกัน ประเทศจีนมีการสร้างช่องทางของตัวเองขึ้นมาเช่น Weibo (เวย์ปั๋ว) ที่มาแทน Facebook และ Twitter, WeChat (วีแชท)ที่ มาแทน Whatsapp กับ LINE และ Baidu (ไป่ตู้) ที่มาแทน Google เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้บริษัทต่างชาติหลายรายที่พยามเข้าในประเทศจีนนั้นประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการไม่ได้รับความสนับสนุนจากทางรัฐบาล และคู่ค้าจีน จนไปถึงการเข้าไม่ถึงของช่องทางการตลาดต่างๆที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจีน
จริงอยู่ที่มีหลายบริษัทที่ล้มเหลว แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการบุกตลาดจีน อาทิเช่นเถ้าแก่น้อยที่ตอนนี้มีวางขายอยู่ตามเซเว่นและซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆในประเทศจีน น้ำผลไม้มาลีที่มีความรู้จากทั่วไปในประเทศ หรือสเนลไวท์ที่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งมีคนผลิตของปลอมขึ้นมา จนถึงเครื่องสำอางมิสทีนที่นักท่องเที่ยวจีนมากวาดซื้อเกลี้ยงไปหมดจนผลิตไม่ทัน ดังนั้นมันจะต้องมีเคล็ดลับบางอย่างที่บริษัทเหลานี้ที่ประสบความสำเร็จ ทำได้ถูกต้องจึงสามารถบุกตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความตั้งใจของผมในการเขียนบทความนี้คือ อยากให้ผู้ประกอบการเข้าใจตรงแก่นแท้ของผู้บริโภคจีน เข้าใจช่องทางต่างๆที่สามารถโปรโมทสินค้าและบริการของไทยให้เข้าสู่ตลาดจีนอย่างมีประสิทธิภาพ และอีกทั้งยังสามารถต่อยอดธุรกิจ เพิ่มพันธมิตร และร่วมมือไปกับจีนเพื่อการพัฒนาที่รวดเร็วและยั่งยืน
หวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยคุณให้ไปถึงฝันได้อย่างรวดเร็ว ผมขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือพลักดันสินค้าและบริการไทยให้ก้าวไกลในประเทศจีนครับ บทที่ 1 ที่มาของจีน ย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว ถ้ามีคนถามว่าประเทศมหาอำนาจคือประเทศอะไร ทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าประเทศอเมริกาโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่สมัยนี้เมื่อถามคำถามเดียวกันอีก ผมเชื่อมั่นว่าคนหลายคนคงจะตอบว่าประเทศจีน เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ประเทศจีนได้มีพัฒนาการที่ก้าวกระโดด จึงทำให้คนหลายคนต้องหันมามอง และให้ความสนใจตลาดจีน
มีเหตุการณ์อยู่หลายครั้งที่ยิ่งทำให้ทั่วโลกตะลึงกับอำนาจของประเทศจีน เช่นการซื้อบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ไอบีเอ็ม การควบรวมกิจการของบริษัทรถ Volvo หรือแม้กระทั่งการที่กลุ่มอะลีบาบาซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอเมริกาซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 230,000 ล้านดอลล่าร์
มารู้จักประเทศจีนกัน
ประเทศจีนเป็นประเทศที่อยู่ได้ด้วยตัวเองมาสักระยะหนึ่งแล้ว เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่สามารถบริหารจัดการประเทศชาติได้อย่างง่ายดาย โดยมีประธานาธิบดีคอยดูแลประชาชน ทำให้สามารถจัดระเบียบและพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วประสิทธิภาพ
ผู้นำประเทศแต่งละรุ่นมีหน้าที่คิดเสมอว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศจีนนั้นพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่สร้างจุดแข็งของตัวเองขึ้นมา และเพิ่มพูนความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากคนส่วนมากในประเทศจีนไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้และการศึกษาก็ไม่ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกันประเทศอื่นๆ และมิหนำซ้ำการรับรู้สื่อสารข่าวสารของโลกภายนอกยังถือว่าน้อยเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตามจีนมีความมุ่งมั่นอดทนและสามัคคีเป็นอย่างมาก ซึ่งประเทศจีนได้แสดงให้โลกได้เห็นให้โลกรู้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองจีนที่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากในช่วงหลากหลายรุ่นคนเพื่อสร้างปัตยกรรมของโลกที่น่าภูมิใจและทำให้ทุกประเทศต้องรู้จักประเทศจีน ความสามัคคีนี้เองเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้จีนสามารถพัฒนาประเทศชาติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลองคิดดูว่าถ้า 1,357 ล้านคนมุ่งหน้าร่วมมือการสร้างประเทศจีนให้เป็นประเทศมหาอำนาจ คงจะยากที่ใครจะขัดขวางได้ บทที่ 2 บุกตลาดจีนอย่างไร? การเติบโตอย่างรวดเร็ว ของประเทศจีนนับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการไทย เพราะนอกจากจะทำให้บริษัทต่างๆในทั้งอเมริกาและยุโรปต้องเดินทางมาเปิดตัวในทวิปเอเซียกันมากขึ้นเพื่อหวังที่จะครอบครองตลาดในเอเซียให้ได้ ซึ่งทำให้เงินต่างชาติไหลเข้ามาในทวีปนี้มากเลยทีเดียว นอกจากนี้เมื่อจีนมีเงินมากขึ้น กำลังซื้อก็ย่อมมากขึ้น ส่งผลให้การค้าขายระหว่างไทยจีนก็ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
โอกาสนี้ใครๆก็อยากจะจับจอง แต่บางคนก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องภาษา จนไปถึงการไม่เข้าใจช่องทางการตลาด และช่องทางขายต่างๆในจีน จนทำให้การบุกตลาดจีนเป็นเหมือนการพนันมากการการทำธุรกิจเพราะไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ส่วนใหญ่แล้วเวลาเราถามบริษัทต่างๆที่เคยไปจีนว่าเขาบุกตลาดจีนอย่างไร บริษัทส่วนใหญ่มักจะตอบว่าวิธีที่ง่ายที่สุดคือการไปออกงานมหกรรมต่างๆที่ทางจีนได้จัดขึ้น ซึ่งในเมืองจีนนั้นมีงานมหกรรมเยอะมาก อีกทั้งแต่ละเมืองก็แข่งขันกันจัดงานในเมืองนั้นๆอีกด้วย ผู้ก่อการสามารถขอข้อมูลเบื่องต้นกับกงสุลได้ว่ามีงานอะไรบ้าง แล้วค่อยเลือกไปงานที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ตัวเองมากที่สุด อีกทั้งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวก็สามารถเข้าร่วมงานต่างๆที่ทางท่องเที่ยวไทยจัดขึ้นได้เช่นเดียวกันครับ
ค่าใช้จ่ายในการออกงานก็ขึ้นอยู่กับชนิดของงาน ส่วนใหญ่ก็เป็นหลักหมื่นไม่รวมค่าเดินทางและที่พักที่จะต้องจัดเตรียมเอง การขายผ่านงานมหกรรมนั้นจัดว่าเป็นการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ง่ายที่สุด เนื่องด้วยใบขออนุญาตจำหนายผลิตภัณฑ์ต่างๆจะเป็นแบบพิเศษที่ขายได้เฉพาะในงานเท่านั้น แต่ไม่สามารถเอาออกไปขายตามร้านค้าข้างนอกได้ ถ้าจะวางขายในร้านข้างนอกต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและขออนุญาตอย่างถูกต้องก่อนและจะมีสติ๊กเกอร์อีกรูปแบบหนึ่งแปะอยู่ข้างกล่องด้วย โดยถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเจอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ก็จะเป็นปัญหาและถูกดำเนินตามกฏหมายได้
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการออกงานมหกรรมคือได้ทดลองตลาดก่อนว่าคนจีนชอบผลิตภัณฑ์ของเราไหม แล้วจะได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ทันเวลาก่อนที่จะผลิตมาจำนวนมากเมื่อบุกตลาดอย่างจริงจัง
ทั้งนี้มีพวกผู้ประกอบการหลายรายที่ขายผ่านทางงานมหกรรมแล้วสามารถสร้างยอดขายได้เป็นมูลค่าหลายแสนบาทต่อวัน บางผลิตภัณฑ์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หมดเกลี้ยงภายในไม่กี่วันแรกของงาน ถือว่าคุ้มค่าเหนื่อยเลยทีเดียว แต่แล้วเมื่องานมหกรรมจบลง การขายก็จบลงเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นหลายบริษัทก็ติดปัญหาว่านำเข้าไปขายตามหน้าร้านในประเทศจีนได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะขออนุญาตอะไรบ้าง อีกทั้งไม่ทราบว่าจะจัดหาผู้จำจัดจำหน่ายอย่างไรช่องทางการตลาดก็ยังไม่แน่ชัดเพราะงานมหกรรมมีคนมาเดินถึงหน้าร้านเลยแต่เมื่อเอาไปขายในประเทศจีนจริงๆจำนวนลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้านนั้นน้อยกว่างานมหกรรมหลายเท่าตัว
มีหลายรายที่ทุ่มเงินมหาศาลในการเปิดหน้าร้านเองที่ประเทศจีนแต่แล้วยอดขายก็ไม่ได้ตามเป้า ไม่ใช่เพราะผลิตภัณฑ์ไม่ดีแต่เป็นเพราะการตลาดนั้นไม่ทั่วถึงต่างหาก อย่าลืมว่าการตลาดในประเทศจีนนั้นแตกต่างกับประเทศอื่นๆอย่างมาก ช่องทางในการทำการตลาดก็แตกต่างกันและพฤติกรรมของผู้บริโภคก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ดังนั้นผู้ประกอบการคนไหนที่อยากจะพิชิตตลาดจีนให้ได้จะต้องทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมผู้บริโภคจีนและเรียนรู้ช่องทางการตลาดจีนอย่างลึกซึ้งเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ เหมือนดั่งที่ซุนวูเคยพูดไว้ว่า
“รู้เขารู้เรารบ 100 ครั้งชนะ 100 ครั้ง”
บทที่ 3 รู้จักพฤติกรรมผู้บริโภคจีน
เวลาเราพูดถึงคนจีนหรือผู้บริโภคจีนก็ตามอยากจะให้แบ่งแยกออกมาเป็นสี่ส่วนด้วยกันครับ
ทำความรู้จักกับประเทศจีน
เมื่อพูดถึงประเทศจีนเราต้องเข้าใจก่อนว่าประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่ใหญ่มาก มีประชากรมากถึง 1,357 ล้านคน คนซึ่งมากกว่าประเทศไทย 20 เท่าตัว เวลาเราพูดถึงประเทศจีนคนส่วนมากจะคิดถึงประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียว แต่ที่จริงแล้วเพราะความใหญ่ของประเทศนั้นทำให้คนในแต่ละเมืองมีความแตกต่างกันมากพอสมควร รวมถึงการบริโภคที่แตกต่างและความคิดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นคนภาคเหนือจะชอบอาหารที่เค็ม ส่วนภาคตะวันตกจะชอบเผ็ดภาคตะวันออกจะชอบอาหารทะเล ส่วนภาคใต้จะชอบอาหารรสหวาน
ส่วนที่หนึ่ง คือภาคเหนือตั้งแต่ปักกิ่งซึ่งเป็นหัวเมืองหลักสำคัญของประเทศจีน ขึ้นไปรวมจนถึงฮาร์บินที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มีความโด่งดังเรื่องความเย็นหรืองานที่เกี่ยวกับน้ำแข็ง ภาคเหนือของจีนจะติดกับประเทศมองโกเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความใกล้เคียงกับจีนมากและประเทศเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและชนบท ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของจีนและเป็นศูนย์รวมของรัฐบาลจีนหลายหลายหน่วยงาน เป็นที่ที่เคยจัดโอลิมปิกและมีการพัฒนาประเทศให้มีมลภาวะน้อยลง ทั้งนี้เป็นเมืองที่มีอากาศแปรปรวนโดยเฉพาะหน้าหนาวจะมีอุณหภูมิติดลบ หิมะตก ดังนั้นเวลาพูดถึงการท่องเที่ยวจะมีพฤติกรรมพิเศษกว่าภาคอื่นๆ นั้นก็คือคนภาคนี้จะนิยมหนีหนาวหรือส่งคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ต่างประเทศ ในสถานที่ติดทะเลที่มีอุณหภูมิที่อบอุ่นเป็นเวลาประมาณสามถึงสี่เดือนต่อปี ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย เกาะไหหลำ หรือเกาะบาหลี ท้ายนี้แม้ว่าปักกิ่งจะเป็นเมืองหลวงแต่ก็ยังคงความเป็นจีนค่อนข้างเยอะจึงทำให้เป็นเมืองที่คนต่างชาติต้องปรับตัวมากพอสมควร ส่วนที่สอง คือโซนตะวันตก มีหัวเมื่อหลักคือสองเมืองคือคุณหมิงและเฉิงตู นครคุนหมิงเป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลหยุนหนาน ซึ่งเป็นมณฑลที่ติดกับประเทศลาว เวียดนาม และพม่ า จึงเป็นจุด ยุทธศาสตร์สำคัญในการนำเข้าและส่งออกสินค้า ถ้าพูดถึงการค้าขายทางถนนระหว่างไทยจีนแล้วนั้น เราจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะต้องนำเข้านครคุนหมิงก่อนที่จะกระจายไปตามเมืองต่างๆในจีน ส่วนเมืองเฉิงตูเป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน มีประชากรราว 10 ล้านคน จัดเป็นอันดับ 3 ของประเทศจีน เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ และเป็นเมืองที่รัฐบาลจีนส่งเสริมให้เป็นหัวเมืองหลักสำคัญของภาคตะวันตก
ถ้าพูดถึงภูมิภาคอากาศที่นั่นจะคล้ายครึ่งกับเชียงใหม่ นั้นก็คือเป็นมณฑลที่มีภูเขามากมาย อากาศดีทำให้คนส่วนมากที่อยู่ภาคตะวันตกเป็นคนที่มีชีวิตเรียบง่ายได้อยู่อย่างสบายๆ ผมเคยถามคนที่นี่ว่าอยากจะย้ายเข้าไปทำงานที่เมืองเมืองที่มีเศรษฐกิจดีไหมเช่นเซี่ยงไฮ้ กวางโจ ปักกี่งต้น ซึ่งส่วนมากจะตอบว่าเค้าชอบชีวิตที่นี่มากกว่าจะต้องแข่งขันกันและยังต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา
ส่วนที่สาม คือภาคใต้ซึ่งมีหัวเมืองหลักสำคัญคือกวางโจวและเซินเจิ้น ทั้งสองเมืองนี้เป็นเมืองในมณฑลกวางตุ้ง และเป็นจุดศูนย์กลางของการค้าขาย เมืองเซินเจิ้นนั้นเป็นเมืองที่ติดกับฮ่องกงและสามารถพูดและเขียนภาษาเดียวกันกับฮ่องกงได้ ทั้งสองเมืองนี้มีโรงงานที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงมากมาย ดังนั้นนักธุรกิจที่ต้องการนำเข้าของจากเมืองจีนมาขายส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นสองเมืองนี้ก่อนนอกจากจะมีของให้เลือกเยอะแล้วแถบยังราคาถูกมากเลย เนื่องด้วยเหตุนี้คนในเมืองนี้เป็นส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นพ่อค้าและมีการพัฒนาด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีรวดเร็วกว่าที่อื่นๆ นักธุรกิจไทยที่อยากไปทำธุรกิจที่นั่นสามารถทำได้ค่อนข้างสะดวกกว่าเมืองอื่นๆเพราะนอกจากจะมีกงสุลใหญ่อยู่ที่นครกวางโจวเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่อยากจะไปขยายกิจการที่นั่น อีกทั้งการใช้ชีวิตและอาหารการกินของที่นี่มักจะถูกปากคนไทยเพราะมีความคล้ายคลึงกับอาหารจีนที่เราคุ้นเคยในประเทศไทยครับ
ส่วนสุดท้าย คือโซนตะวันออกซึ่งมีเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองหลักสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของจีนในด้านเศรษฐกิจ เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่สร้างรายได้ให้กับประเทศจีนมากที่สุด และมีบริษัทต่างชาติมาลงทุน ปักหลักอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่คนต่างชาติใช้ชีวิตอยู่อาศัยได้อย่างง่ายที่สุดเพราะมีการเปิดกว้างในเรื่องของวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ รวมทั้งมีเขตที่สามารถเปิดใช้เครื่องมือออนไลน์ของต่างประเทศได้อีกด้วย
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่ติดกับทะเลมหาสมุทรนั้นจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการส่งของไปประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หวันไต้หวัน เกาหลี หรือประเทศอื่นๆ แต่เงินค่าครองชีพที่เมืองเซี่ยงไฮ้ก็สูงเช่นกัน ค่าเช่าที่พักอาศัยและร้านค้าก็สูงขึ้นตามกัน ทำให้ผู้ประกอบการที่จะลงทุนที่เซียงไฮ้อาจจะต้องคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนเพราะค่าใช้จ่ายกายการเริ่มต้นนั้นสูงพอสมควร
เนื่องด้วยเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองค่อนข้างจะอินเตอร์ทำให้คนส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้และบ้านเมืองมีการพัฒนาที่เร็วใกล้เคียงกับฮ่องกง คนที่นั้นมีกำลังซื้อเยอะมากจึงทำให้บริษัทซีพี ซึ่งมีชื่อเรียกในจีนว่าเจิ้งต้า ได้ทำการเปิดห้างสรรพสินค้าหรูชื่อว่า ซุปเปอร์แบรนด์มอลล์ที่ใจกลางนครเซี่ยงไฮ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การเดินทางระหว่างจังหวัดต่างๆในประเทศจีนนั้นมี 2 วิธีหนักๆคือ หนี่ง นั่งรถไฟไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟธรรมดา จะป็นตั๋วนั้ง หรือตั๋วยืน ก็สามารถพาเราไปถึงเมืองต่างๆได้อย่างสะดวกสบาย วิธีที่สองคือการนั้งเครื่องบินไปลงตามหัวเมืองหลักต่างๆเพื่อย่นเวลาการเดินทาง
เวลาเมืองจีนนั้นเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ทำให้เวลาติดต่องานค่อนข้างง่ายแต่อย่าลืมนะครับว่าบริษัทจำนวนไม่น้อยในจีนนั้นพักเที่ยง 2 ชั่วโมง โดยที่เขามีความเชื่อว่าการที่พนักงานได้รับประทานอาหาร 1 ชั่วโมงและได้งีบหลับพักผ่อนอีก 1 ชั่วโมง จะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นในช่วงตอนบ่ายครับ บางทีเมืองไทยน่าจะเอาตรงนี้มาใช้เหมือนกันนะ นี่คือภาพรวมประเทศจีนที่นักธุรกิจต้องรู้ก่อนที่จะลงสนามบุกตลาดจีน หลังจากที่ทราบความแตกต่างของแต่ละโซนของประเทศจีนแล้ว สิ่งต่อไปที่จะต้องเข้าใจคือทัศนคติที่คนจีนมีต่อสินค้าและบริการไทย
ทัศนคติที่คนจีนมีต่อสินค้าและบริการไทย
ถ้าอยากจะเข้าใจคนจีน เราควรเริ่มดูที่ความเชื่อของคนจีนก่อน เราเข้าใจก่อนว่า คนจีนเองก็แบ่งเป็นหลายเชื้อสายโดยมีเชื้อสายที่สำคัญอยู่หลักๆหนึ่งเชื้อสาย นั้นก็คือ ชาวฮั่น ซึ่งมีประชากรมากถึง 92% ประชากรของจีนทั้งหมด
คนจีนส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา ถ้าสังเกตดีๆเวลานักท่องเทียวจีนมาบ้านเรา ส่วนใหญ่จะไม่ชอบไหว้พระมากนักแม้จะมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มากก็ตาม บางคนจึงยินยอมไปไหว้พระพรหมหรือเช่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นพระผีเสื้อ หรือยันต่างๆที่มีความเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตของเขาสำเร็จและดีขึ้น นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ให้ความนับถือบูชาองเทพ และคนที่มีความสำคัญต่อประเทศจีนเช่น ขงจื๊อ เป็นต้น
ความรู้สึกที่คนจีนมีต่อคนไทยนั้นดีมาก คนจีนส่วนใหญ่รักเมืองไทยและนิสัยคนไทย วิธีทดสอบสนุกๆว่าคนจีนชอบคนไทยแค่ไหน นั้นง่ายนิดเดียวครับคือการที่เดินเข้าไปหาคนจีนแล้วบอกว่า “เราคือคนไทย” (หรือภาษาจีนออกเสียงว่า “วอชื่อไท่กั๋วเหลิน” ร้อยทั้งร้อยจะทำให้คนจีนนั้นยิ้มขึ้นมาได้เลยทีเดียว
สิ่งที่ขึ้นชื่อของไทยก็มีหลายอย่างครับเช่น ดาราไทยก็เป็นที่รู้จักของคนจีนโดยเฉพาะคนที่เคยเดินทางไปประเทศจีน หรือแสดงหนังที่โชว์ในมือจีน
สิ่งที่สองคือการนวดของไทยซึ่งมีความนอบน้อมและอ่อนโยนกว่าการนวดของจีนเป็นอย่างมาก มีความประดิษฐ์ประดอยและเป็นศิลปะเอกลักษณ์มากกว่าทำให้คนจีนมีความเชื่อว่าการนวดแบบไทยนั้นเป็นการนวดแบบมีคุณภาพ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการนวดต่างๆก็มีความนิยมเช่นเดียวกัน
ผลิตภัณฑ์ขายดีในประเทศจีนมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น หมอนยางพาราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีในตลอดปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีช่อง ซีซีทีวี1 ซึ่งเป็นช่องที่ได้รับความนิยมของประเทศจีนนั้นมาทำสารคดีเกี่ยวกับหมอนยางพาราในประเทศไทย ทำให้ผู้คนในประเทศจีนนั้นรู้จักและมีความต้องการหมอนยางพาราเป็นอย่างมาก ทำให้ห้างสรรพสินค้าสำหรับคนจีนจะต้องมีหมอนยางพาราขายอยู่เป็นอย่างแน่นอน และขายในราคาค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณ 2,000 ถึง 3,000 บาทต่อใบเลยทีเดียว
ผลิตภัณฑ์ขายดีอันต่อมาคือขนมขบเคี้ยวอาหารการกินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเช่นสาหร่ายเถ้าแก่น้อย นมเม็ดส่วนดุสิต น้ำผลไม้มาลี ข้าวหอมมะลิ ผลไม้อบแห้งโดยเฉพาะทุเรียน รวมไปถึงผลไม้สดของเมืองไทยเช่น ทุเรียน ส้มโอและกล้วย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกันโดยเฉพาะมิสทิน สเนลไวท์และยาลดความอ้วนโรงพยาบาลยันฮี
ผลิตภัณฑ์หนังเช่นกระเป๋าหรือเข็มขัดซึ่ง(อ้างว่า)ทำมาจากหนังช้างหรือหนังจระเข้
ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่มียอดซื้อค่อนข้างเยอะ เช่น รังนก หรือผ้าไหม แต่เอาเข้าจริงๆแล้วส่วนใหญ่มาจากการนำเสนอของบริษัททัวร์ต่างๆแทนที่จะเป็นความต้องการจริงๆของคนจีน
ทั้งนี้เราสามารถเช็คสินค้ายอดนิยมได้จากเว็บไซต์ขายของในประเทศจีนเช่นTaobao เพื่อที่จะอัพเดทตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาและเข้าใจถึงความต้องการของจีนอาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต
พฤติกรรมออนไลน์ที่แตกต่าง
เรื่องของช่องการตลาดทางบนโลออนไลน์เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถเมินเฉยได้โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้าและบริการ จองรถ จองตั๋ว ซื้อประกัน ฯลฯ ในประเทศจีนนั้นมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต เป็นจำนวน 650 ล้านคน หรือเท่ากับ 2 เท่าของประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้น 58% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ และส่วนมากมีบัญชีโซเชียลมีเดียหลายบัญชี ด้วยตลาดที่ใหญ่มากจึงทำให้อาลีบาบาสามารถเติบโตและพัฒนาธุรกิจจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอเมริกาได้ ทำให้ แจ็ค หม่า เป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยแล้วคนจีนใช้โซเชียลมีเดียถึง 9 ชม ต่อวัน ซึ่งสูงกว่าการใช้ของคนในสหรัฐอเมริกาถึง 5 ชมต่อวันเลยทีเดียว แต่มีอยู่วันนึงของปีที่ค่าเฉลี่ยพุ่งกระฉูดทะลุเป้านั้นก็คือปรากฏการณ์ของ วันที่ 11 เดือน 11 หรือเรียกว่า “วันคนโสด” ซึ่งเป็นการตลาดของอาลีบาบาที่ได้ผลเกินความคาดหมาย จัดมาแล้วสองสามปี ร้านในอาลีบาบาร่วมใจกันลด 50% ทำให้คนหลั่งไหลเข้ามาซื้อของเป็นจำนวนมากจนถึงกับเซิฟเวอร์ล่มเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำทำให้อีคอมเมิร์ซในเมืองจีนเติบโตอย่างรวดเร็วคือความเชื่อมั่นที่คนจีนมีต่อระบบจ่ายเงินของอีคอมเมิร์ซจีน พราะการสั่งซื้อของพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการจ่ายเงินเมื่อได้รับของ จึงทำให้ผู้ซื้อกล้าที่จะสั่งของราคาสูง นอกจากนี้อาลีบาบายังมีมาตรการเสริมความมั่นใจผู้ซื้อไม่ว่าจะเป็นการรับประกันเงินคืนในกรณีของมาไม่ถึงมือผู้ซื้อ หรือไม่พอใจสินค้า อีกด้วย
นอกจากอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งแล้วประเทศจีนยังมีระบบการเงินที่ดีและเชื่อถือได้ด้วย ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเป็นไปได้อย่างง่ายดายและกระตุ้นให้คนซื้อของได้โดยที่ไม่ต้องพกเงินสด
สมัยนี้คนจีนนิยมใช้มือถือมากขึ้นเรื่อยๆอย่างมีนัยสำคัญ 61% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งหมดดันมาใช้มือถือเป็นหลักไม่ว่าจะเป็น เล่นเน็ต โซเชียลมีเดีย ซื้อของ หรือโอนเงิน ตัวเลขที่น่าสนใจตัวนึงคือในปี 2558 การจับจ่ายใช้สอยบนระบบชำระเงินผ่านมือถือของจีนมีมูลค่ารวม 235,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก ระบบชำระเงินผ่านมือ ถือหลักของประเทศจีนก็คือ Alipay (อาลีเพย์) ครอง 68% ของตลาด WeChat Pay (วีแชทเพย์) ครอง 20% ของตลาด ระบบการเงินนี้ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆกับของเมืองไทยก็คือ LINE Pay (ไลน์เพย์) หรือ True Money (ทรูมันนี่) ที่สามารถเติมเงินเข้าไปและจับจ่ายใช้สอยตามสถานที่ต่างๆได้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือผู้บริโภคในเมืองจีนยินยอมที่จะชำระเงินผ่านมือถือมากกว่าใช้เงินสดเสียอีก จึงทำให้ร้านค้าทุกร้านต้องเตรียมตัวรับการจ่ายผ่านมือถือนี้
นอกจากจะจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าได้แล้วยังสามารถโอนเงินให้กันได้อีก ซึ่งแปลว่าการโอนเงินระหว่างบุคคลทำได้ง่ายกว่าปกติที่จะต้องไปธนาคาร อีกทั้งการถอนเงินจากธนาคารมาสู่ระบบมือถือนี้ทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ตั้งค่าให้ถูกต้อง ยืนยันตัวตน หลังจากนั้นก็ใช้แค่รหัสส่วนตัว เพียงแค่นี้ก็สามารถโอนเงินอยู่ให้กับคนอื่นๆที่มีระบบกระเป๋าตังมือถือได้
พฤติกรรมของการจ่ายเงิน นี้เป็นเทรนของโลกเพราะแม้แต่ทาง Apple เองก็ออกบริการตัวใหม่ชื่อว่า Apple Pay (แอปเปิ้ล เพย์) รวมทั้ง Google ก็ได้ออก Google Wallet (กูเกิล วอลเล็ต) ซึ่งจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยง่ายขึ้น ทุกการเปลี่ยนแปลงมีโอกาสใหม่เสมอ เมื่อเทรนด์นี้กำลังมาเราควรจะมองหาโอกาสที่จะสามารถใช้ประโยชน์เกื้อหนุนธุรกิจเราได้นะครับ
ตัวอย่างเช่น คนที่เคยสัมผัสนักท่องเทียวจีนที่มาเยือนประเทศไทยก็ตามอาจจะเคยพบเห็นว่าคนจีนได้นำพฤติกรรมนี้มาใช้ในประเทศไทยเช่นเดียวกันโดยเฉพาะภูเก็ตซึ่งตอนนี้ร้านค้าหลายรายเปิดรับการจ่ายของ Alipay ละWeChat ได้แล้ว ซึ่งถ้าเราเป็นผู้ประกอบการที่มีลูกค้าจีนมาร้านเป็นประจำ เราก็ควรศึกษาเรื่องนี้และเตรียมตัวให้สามารถรับการจ่ายเงินผ่านทางมือถือให้ได้ เพราะเมื่อลูกค้าจ่ายคล่องก็มีโอกาสที่เขาจะซื้อเยอะขึ้นเช่นเดียวกัน ผู้ประกอบการใดที่อยากศึกษาเพิ่มเติมสามารถสามารถติดต่อเข้ามาได้นะครับ การตลาดออนไลน์จีน
เมื่อเราเห็นแล้วว่าตลาดออนไลน์จีนนั้นสำคัญแค่ไหน สิ่งต่อไปที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจก็คือช่องทางการตลาดออนไลน์ จากผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศจีนทั้งหมด 650 ล้านคน มีอยู่ 400 ล้านคนที่ดูผ่านทางมือถือ และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าในปี 2560 จะมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียทางมือถือถึง 745 ล้านคน ดังนั้นเราต้องเข้าใจว่าสื่อต่างๆที่เรานำเสนอทางช่องทางจีนจะต้องสอดคล้องกับจำนวนคนที่ใช้มือถือในการเสพสื่อต่างๆนี้ด้วย ที่สำคัญคือ 37% ของคนที่ซื้อของออนไลน์นั้นบอกว่าพวกเขาตัดสินใจซื้อของจากการแนะนำบนโซเชียลมีเดีย การตลาดออนไลน์จีนถือเป็นช่องทางที่ดีมากในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคสมัยใหม่โดยเฉพาะผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 26 ถึง 35 ปี ซึ่งรวมกันแล้วมีจำนวนผู้ใช้มากถึง 51% ของผู้ใช้ออนไลน์จีนทั้งหมด
ในเมืองไทยเราใช้ Facebook LINE YouTube และ Google เป็นหลักแต่ทราบมั้ยครับว่าเครื่องมือออนไลน์จีนเหล่านี้ไม่สามารถเปิดได้ในเมืองจีนเลย บ้าง ท่านอาจจะจำได้ว่าเมื่อปี 2553 ที่ออกข่าวใหญ่หน้าหนึ่งว่ากูเกิ้ลได้ถอนตัวออกจากเมืองจีนเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆเช่น การโดนจำกัดการเผยแพร่ และการโดนโจมตีจากแฮ็กเกอร์ ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจในเมืองจีนได้อีกต่อไปสำหรับผู้บริโภคแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น Google Search, Gmail, Play Store, Google Drive, Google Map หรือ YouTube ก็ล้วนโดนบล็อกทั้งสิ้น ทำให้การดำเนินชีวิตในประเทศจีนของคนต่างชาติที่ใช้กูเกิ้ลเป็นหลักก็จะไม่ค่อยสะดวกมากนัก ทั้งนี้ทั้งนั้นคนจีนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเพราะ จีนเองก็มีแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เหมือนกัน อีกทั้งผู้บริโภคจีนก็สนับสนุนแพลตฟอร์มเหล่านี้เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มของคนจีนกันเอง และทำให้ไม่ต้องพึ่งบริษัทต่างชาติ อีกทั้งข้อมูลต่างๆที่ใส่เข้าไปในเครื่องมือออนไลน์จีนพวกนี้ก็จะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศไปอยู่ในมือของต่างชาติ ดังนั้นผู้ใดที่ต้องการทำการตลาดในจีนจะต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มต่างๆของจีนนี้ ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะใช้ LINE หรือ WhatsApp คนในจีนใช้ WeChat (วีแชท) แทน ใครที่มีเบอร์โทรศัพท์ก็สามารถลงทะเบียนใช้ WeChat ได้ จึงทำให้มีคนลงทะเบียนถึง 1,100 ล้านคน และในปี 2559 WeChat มีผู้ใช้บริการเป็นประจำจำนวน 806 ล้านคน อีกทั้งในลักษณะเดียวกันกับที่ไทยเรามี LINE@ ซึ่งเป็นไลน์สำหรับร้านค้าเอาไว้โฆษณาขายของ WeChat ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกันนั้นก็คือ WeChat Official (บัญชีทางการ) ที่ทำได้เหมือน LINE@ เลยทีเดียว แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้คือ WeChat Official ที่สร้างจากต่างประเทศนั้นคนจีนไม่สามารถเปิดดูได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีพันธมิตรในจีนที่คอยช่วยเปิดบัญชี WeChat Official ให้ในจีนด้วย Facebook ก็โดนบล็อก เช่นเดียวกันโดยแทนที่คนจีนจะใช้ Facebook เขามีแพลตฟอร์มหลายตัวให้เลือก สมัยก่อนมี RenRen (เหรินเหริน) แต่ตอนนี้แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Weibo (เวย์ปั๋ว) ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง Twitter และ Facebook ซึ่งมีคนลงทะเบียนรวม 600 ล้านคน มีผู้ใช้บริการเป็นประจำจำนวน 261 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ 85% ใช้ผ่านทางมือถือ YouTube แพลตฟอร์มวิดีโอ อันดับหนึ่งของโลกก็โดนทดแทนด้วยแพลตฟอร์มที่คล้ายคลึงกันนั้นก็คือYouKu Tudou (โยวคู่ ถู่โต้) ซึ่งมีผู้ใช้ทั้งหมดมากกว่า 500 ล้านคน มีผู้ใช้บริการเป็นประจำจำนวน 150 ล้านคน มียอดดูวิดีโอต่อวันจำนวน 900 ล้านครั้ง สุดท้ายนี้ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้ถูกทดแทนด้วยBaidu (ไป่ตู้ ) หลักการทุกสิ่งทุกอย่างเกือบเหมือนกันทั้งสิ้น โดยมีการโฆษณาผ่านทาง Baidu ได้ด้วยเหมือนกันกับ Google Adword (กูเกิ้ล แอดเวิร์ด) ที่เราสามารถซื้อโฆษณาเพื่อให้ระดับการค้นหาของเราอยู่อันดับต้นๆได้ Baidu มีผู้ใช้ทั้งหมดต่อเดือนประมาล 657 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 79% ของจำนวนการค้นหาทั้งหมด นอกจากนี้ Baidu ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆอีกมากมายเช่น Baidu Map, Baidu Cloud, Baidu Tieba ฯลฯ
นอกจากโซเชียลเมเดียที่โดนบล็อกแล้ว เครื่องมือที่ใช้โหลดแอพมือถือ Play Store ก็โดนบล็อกด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ใช้ iPhone นั้นสามารถโหลดได้ที่ Apple Store แต่สำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์นั้น ซึ่งมีทั้งหมด 70% จากผู้ใช้มือถือสมาร์ทโฟน 780 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึง Google Play Store เพื่อโหลดแอพพลิเคชั่นอื่นๆได้ ดังนั้นผู้พัฒนาแอพมือถือจะต้องศึกษาให้ดีก่อนที่จะหวังบุกตลาดจีน นะครับ ท่านทั้งหลายคงเห็นแล้วว่าช่องทางการทำเครื่องมือออนไลน์จีนนั้นมีความแตกต่างกว่าประเทศอื่นๆมากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเราจะตั้งศึกษาในเข้าใจก่อนที่จะทำตลาดในประเทศจีนครับ รายละเอียดของแต่ละแพลตฟอร์มนั้นมีเยอะมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถครับ เพียงลองเริ่มเล่นดูครับ ถ้าติดปัญหาอะไรสามารถสอบถามมาได้เลยนะครับ บทที่ 4 โอกาสธุรกิจในเมืองจีน ถึงตอนนี้เราคงทราบกันดีว่ามีจำนวนผู้ใช้เครื่องมือออนไลน์จีนและโซเชียลมีเดียต่างๆของเมืองจีนเยอะมาก เนื่องด้วยประชากรที่มีอยู่จำนวนมากของจีนทำให้แพลตฟอร์มต่างๆพวกนี้สามารถอยู่ได้ นอกจากแพลตฟอร์มต่างๆที่ผนนำเสนอไป จริงๆแล้วยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่คล้ายๆกัน แต่แพลตฟอร์มต่างๆนี้ก็ยังคงอยู่ได้เนื่องจากที่กลุ่มลูกค้าในเมืองจีนนั้นมีมหาศาล
เมื่อทราบอย่างนี้ ผมสังเกตุเห็นหลายคนที่อยู่ในแวดวงไอทีอยากจะสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมอร์ซขึ้นมา เพื่อรองรับลูกค้าจีน ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์รวบรวมของยอดนิยมของไทย โดยหวังว่าจะดึงดูดผู้บริโภคจีนเข้ามายังเว็บไซต์ ทำให้มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งถ้ามองจริงๆแล้วสำหรับผู้ประกอบการไทยที่อยากจะส่งของไปขายในประเทศจีนนั้น การมีอีคอมเมอร์ซเว็บไซต์หลายๆเจ้าก็เป็นเรื่องดีเพราะเราสามารถเลือกที่จะลงในเว็บไซต์ที่มีคนใช้จ่ายมากที่สุดหรือเข้าชมมากที่สุดได้ หรือจะวางขายได้หลายๆช่องทางพร้อมๆกันก็ได้
ถึงตอนนี้อยากฝากแนวคิดสำหรับบริษัทไอทีที่อยากจะสร้างช่องทางเป็นของตัวเองเพื่อบุกตลาดจีน หลายคนที่เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีนแล้วอาจจะอยากคว้ามันมันมาเป็นของตัวเอง เลยตัดสินใจลงทุนสร้างแพลตฟอร์มเพื่อที่จะดึงดูดผู้ใช้จีน แต่แล้วหลายหลายบริษัทก็ได้ประสบความล้มเหลวเนื่องด้วยไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทจีนได้ ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมเรื่องภาษา การทำงานอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ โดยเฉพาะการเข้าใจถึงผู้บริโภคอย่างแท้จริง จึงการเจาะตลาดเข้าเมืองจีนโดยบริษัทไทยหรือบริษัทต่างชาติอื่นๆนั้นเป็นไปได้ยากมาก แต่แล้วทุกทุกปัญหามีทางออกเสมอ มีโมเดลธุรกิจไอทีนึงที่หน้าสนใจมาก เป็นบริษัทในจีนทำแล้วถือว่าประสบความสำเร็จมากเลยที่เดียว นั้นก็คือแทนที่จะสร้างแพลตฟอร์มมาแข่งขันกัน เขากลับทำแพลตฟอร์มที่เกื้อหนุนกันโดยมุ่งเน้นจับตลาดโดยให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคไม่ซ้ำกัน ยกตัวอย่างเช่นแพลตฟอร์ม MaFengWo (มาเฟิงว่อ) ซึ่งที่เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวแบบโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ได้สร้างเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลการท่องเที่ยว คำแนะนำและคู่มือนำเที่ยวไว้เยอะมาก ดึงดูดผู้ใช้จำนวนมาก และยังคงมแนวโน้มที่จะมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่ง MaFengWo ก็ คล้ายๆเว็บไซต์ทั่วไปที่ขายโฆษณาตามจุดต่างๆของเว็บไซต์เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือการเป็นเชื่อมต่อกับเว็บไซต์และแพลตฟอร์มชั้นนำอื่นๆเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่นเว็บไซต์ จองโรงแรม ที่จองทัวร์ และตั๋วเครื่องบิน นั่นหมายความว่า เมื่อมีคนจองโรงแรม รถทัวร์หรือตั๋วเครื่องบินผ่าน เว็บไซต์ต่างๆนี้ ก็จะมีค่าตอบแทนส่งกลับให้ MaFengWo เช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
ทีนี้ีนอกจากบริษัทไอที เราลองมาดูบริษัทอื่นๆกับบ้าง ยกตัวอย่างเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวบ้าง เช่นเจ้าของโรงแรม เจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งสถานที่ Shopping จะใช้ประโยชน์อะไรกับข้อมูลนี้ได้บ้าง เนื่องด้วยการท่องเที่ยว เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่า 1.03 ล้านล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2558 รวม 29.8 ล้านคน ซึ่งเกือบ 1 ใน 3 เป็นนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้หันความสนใจมาสู่นักท่องเที่ยวจีน สมัยก่อนผู้ประกอบการจะพึ่งพาอาศัยบริษัททัวร์ไทยให้เป็นคนทำการตลาดและดึงดูดคนเข้ามายังสถานที่ต่างๆในไทย ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีมาโดยตลอด แต่แล้วเทรนด์โลกก็เปลี่ยนไป การเข้าถึงข้อมูลของนักท่องเทียวง่ายขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวมาเองเยอะขึ้นหรือที่เรียกกันว่านักท่องเที่ยวอิสระ พูดง่ายๆคือพวกที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และที่ท่องเที่ยวต่างๆด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านบริษัททัวร์ ดังนั้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งหลายรายจึงสนใจในการทำการตลาดโดยตรงมาขึ้นโดนผ่านเครื่องมือออนไลน์จีน และเว็บไซต์ ทั้งนี้ทั้งนั้นการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองถือว่าเป็นเรื่องดีและจำเป็นเพราะเว็บไซต์เปรียบเสมอเป็นหน้าร้านออนไลน์ แต่การทำการตลาดด้วยตนเองนั้นก็ไม่ง่าย แต่วิธีที่ดีกว่าและง่ายกว่านั้นก็คือการใช้แพลตฟอร์มจีนให้เป็นประโยชน์ เช่นการนำผลิตภัณฑ์และสถานที่ของท่านไปฝากไว้ในแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้เยอะอยู่แล้ว เช่น CTrip, Tujia, Qunar, MaFengWo, TongCheng, Tuniu ฯลฯ เป็นต้น การทำแบบนี้เป็นวิธีการตลาดแบบผ่อนแรงเพราะแพลตฟอร์มต่างๆนี้จะช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์ของเราเป็นที่รู้จักและมีคนเห็นเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ท้ายสุดสรุปว่า นอกจากที่ผู้ประกอบการควรจะสร้างช่องทางการขายและการตลาดทางโซเชียวมีเดียที่สอดคล้องกับลูกค้าจีนแล้ว ยังควรหาแพลตฟอร์มในจีนที่ตรงกับสาขาสายงานของท่าน เพื่อที่จะทำการร่วมมือ โปรโมทและขายผ่านทางช่องทางแพลตฟอร์มนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นครับ บทที่ 5 ขั้นตอนลงมือทำการตลาดออนไลน์จีน
เมื่อเรามีช่องทางการขาย ชัดเจนแล้วไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของเราเองหรือฝากขายในแพลตฟอร์มอื่นๆ สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปก็คือการโปรโมทผ่านทางการตลาดออนไลน์จีนต่างๆ
ซึ่งแน่นอนครับอันดับแรกที่ต้องมีคือการซื้อโฆษณาผ่านทาง Baidu เพื่อให้เว็บไซต์หน้าร้านออนไลน์ของเราขึ้นเป็นดับต้นๆเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำคีย์เวิร์ดที่ตรงกับผลิตภัณฑ์ของเรา โดยเราจะต้องเปิดบัญชี Baidu แล้วลิงค์กับบัญชีธนาคาร ก่อนที่จะสั่งซื้อโฆษณา เช่นเดียวกันกับของไทยถ้าคุณรู้สึกว่าการซื้อโฆษณาเป็นเรื่องยุ่งยาก ผมแนะนำให้จ้างจ้างเอเจนซี่โฆษณาคอยลงให้เราได้
สิ่งต่อมา ผมแนะนำให้ทุกคนเปิดบัญชีธนาคารในประเทศจีนไว้อย่างน้อยหนึ่งบัญชีเพื่อง่ายต่อการโอนเงินมาจากประเทศไทย และใช้จ่ายในการสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์จีนต่างๆ ซึ่งคนไทยเราสามารถเปิดบัญชีธนาคารได้โดยนำหนังสือเดินทาง และเบอร์โทรศัพท์มือถือจีนไปยังธนาคารใดก็ได้ในประเทศจีน แล้วจึงยื่นเรื่องขอเปิดบัญชี ส่วนตัวของผมใช้ไอซีบีซีและแบงค์อ๊อฟไชน่าเพราะว่าเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศจีนและมีสาขาในเมืองไทยด้วย
นอกจากโฆษณาผ่านทาง Baidu แล้ว ผมแนะนำให้เปิด WeChat ซึ่งเป็นแอพลิเคชั่นสนทนาที่มีคนใช้เป็นมากที่สุดในจีน ซึ่ง WeChat จะเป็นช่องทางการติดต่อและสนทนากับลูกค้าโดยตรง
โดยพฤติกรรมคนจีนส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเจอกันครั้งแรกจะมีการสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อเพิ่ม WeChat กันและกัน เพราะนอกจากจะสามารถส่งข้อความ ส่งรูปภาพ ส่งตำแหน่งปัจจุบัน WeChat ยังสามารถส่งซองอั่งเปา อัพโหลดรูปภาพ แถมยังแปลภาษาในห้องสนทนากันได้อีกด้วย ทำให้การติดต่อกับลูกค้าจีนไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ผู้ที่จะเปิด WeChat ได้จะต้องมีเบอร์โทรศัพท์จีนหรือโทรศัพท์ไทยก็ได้ เพียงแค่โหลดแอพมาบนมือถือแล้วสร้างบัญชีใหม่ เปรียบเสมือน LINE นอกจากนั้นแนะนำให้ผูกกับบัญชีธนาคารจีน เพื่อที่จะสามารถให้ระบบรับและชำระเงินผ่านทางมือถือได้
เมื่อมีบัญชี WeChat แล้วควรจะทำการดาวน์โหลดคิวอาร์โค้ดของตัวเองออกมา เพื่อที่จะนำไปแชร์ในช่องทางต่างๆ ไว้ให้ลูกค้าติดต่อเข้ามาสั่งซื้อสินค้าได้ครับ ในขณะเดียวกันควรจะอัพโหลดรูปภาพไปบน WeChat ของเราเรื่อยๆ เพื่อที่เป็นการโปรโมทสินค้าให้ทุกๆคนที่เป็นเพื่อนเราใน WeChat เห็น
นอกจาก WeChat แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ WeChat Official ซึ่งถือว่าเป็นหน้าร้านบน WeChat WeChat Official นั้นมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบ Personal Account (แบบบุคคลธรรมดา) ซึ่งจะสามารถส่งข้อความได้ไม่มีจำกัดจำนวน แต่ไม่สามารถสร้างเมนูที่ลิงค์ออกไปสู่เว็บไซต์อื่นๆได้ แบบที่สองเป็นแบบ Service Account (ผู้ให้บริการ) ซึ่งจะสามารถสร้างเมนูที่ลิงค์ไปยังเว็บไซต์และช่องทางการขายของเราได้ แต่มีข้อจำกัดในการส่งโฆษณาได้เพียงหนึ่งครั้งต่ออาทิตย์เท่านั้น แบบที่สามคือแบบ Subscription Account (แบบสมาชิก) ซึ่งจะสามารถโพสข้อความได้ 1 ครั้งต่อวันและสามารถลิงค์ไปเว็บไซด์ต่างๆได้ เราสามารถเลือกรูปแบบตามความเหมาะสมได้เลยครับโดยส่วนใหญ่ผมจะแนะนำให้ใช้เป็นแบบที่สอง Service Account
สำหรับผู้ที่ไม่มีบริษัทในประเทศจีนสามารถจ้างเอเจนซี่ช่วยเปิดบัญชีได้ครับ ซึ่งเมื่อเปิดบัญชีเสร็จแล้ว บ้างเอเจนซี่ก็รับบริหารให้ด้วย หรือเราจะนำมาบริหารเองโดยขอ ชื่อบัญชีและรหัสผ่านมาก็ได้ครับ
เมื่อเปิดเสร็จแล้วสิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือการโปรโมทคิวอาร์โค้ดของ WeChat Official ครับ เพื่อจะได้ส่งข่าวสารในสมาชิกอย่างต่อเนื่องครับ วิธีที่นิยมการในการโปรโมทคือการโพสต์ในหน้าเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงกระจายตามป้ายแบนเนอร์โฆษณาต่างๆ ให้คนสแกนและเข้าร่วมติดตาม หรือไม่ก็ใช้เทคนิคการแจกของเพื่อแลกกับการสแกนคิวอาร์โค้ดก็เห็นทำกันบ่อยครับ ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะสำหรับทำในงานมหกรรมต่างๆที่รวบรวมคนที่สนใจและเป็นแหล่งรวบรวมคนที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ของเรา
Weibo ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ร้านค้าไทยควรจะมีโดยมีหน้าที่เหมือน Facebook ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทข่าวสาร อัพโหลดรูปภาพ อัพโหลดวิดีโอหรือจะเป็นการถ่ายทอดสด ก็สามารถทำได้เช่นกันครับ เพียงแค่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Weibo ลงบนมือถือแล้วสร้างบัญชีได้เลยครับ
ช่องทางสุดท้ายที่จำเป็นต้องมีคือ Youku Tudou แพลตฟอร์มวิดีโอที่ไว้สำหรับการอัพโหลดวิดีโอดีโฆษณาหรือวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เนื่องจาก YouTube ไม่สามารถดูได้ในเมืองจีนดังนั้นแพลตฟอร์ม Youku Tudou จะเป็นที่เราสามารถเก็บวิดีโอขนาดใหญ่ได้ สามารถกดสร้างบัญชีผ่านทางเว็บไซต์ youku.com ได้เลยครับหรือจะโหลดแอพพลิเคชั่นมาใช้ก็ได้เช่นเดียวกันครับ
ถึงตอนนี้หลายท่านคงจะคำนึกถึงความสำคัญของภาษาจีนเพราะเครื่องมือการตลาดออนไลน์จีนต่างๆส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นภาษาจีนทั้งนั้น ดังนั้นผมแนะนำให้จ้างพนักงานจีนที่สามารถพูดภาษาไทยได้อยู่ที่บริษัทอย่างน้อยหนึ่งคนครับ ซึ่งหาได้ไม่ยากจากมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทยหรือตามโรงเรียนสอนภาษาครับ พนักงานจีนที่พูดไทยได้สำคัญมากสำหรับผู้ที่จะมุ่งเน้นทำการค้าขายกับประเทศจีนเพราะนอกจากจะช่วยเรื่องภาษาให้ดำเนินการต่างๆแล้วนั้นยังจะเป็นจุดสำคัญในการเชื่อมต่อวัฒนธรรมและการเข้าใจถึงพฤติกรรมผู้บริโภค อย่างแท้จริง ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับผู้ที่ยังไม่มีพนักงานจีนก็สามารถทำทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้ด้วยตัวเองโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วย เช่นการแปลภาษาอัตโนมัติของ Google Translate ที่จะสามารถแปลภาษาจีนในหน้าเว็ปทั้งหน้าให้เป็นภาษาไทยได้ ถึงแม้อาจจะลำบากหน่อยแต่ผมเชื่อครับว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
บทที่ 6 ขั้นตอนลงมือหาพันธมิตรจีน การทำธุรกิจสมัยนี้ ไม่ใช่ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” อีกต่อไป แต่จะเป็น “ปลาเร็วกินปลาช้า” ซะมากกว่า เปรียบเสมือนว่าถึงแม้คุณพร้อมที่จะศึกษาการสร้างช่องทางและบริหารเครื่องมือการตลาดออนไลน์จีนด้วยตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าปัจจุบันทางบริษัทไม่ได้มีพนักงานที่พร้อมทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว คุณจะต้องใช้เวลาสักพักในการศึกษาและสร้างช่องทางต่างๆก่อนที่จะเห็นผลลัพธ์ ดังนั้นทางเลือกอีกทางของผู้ประกอบการที่อยากสำเร็จเร็วขึ้นก็สามารถเลือกจ้างบริษัทที่รับทำตรงนี้อย่างเป็นมืออาชีพไม่ว่าจะเป็นที่ไทยหรือที่จีน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าจะให้เร็วติดปีกเลย ก็ให้สามารถหาพันธมิตรจีนที่ไว้วางใจได้ มีมุมมองและวิสัยทัศน์ในทางเดียวกันเพื่อผลักดันสิ้นค้าเราสู่ตลาด วิธีที่หาพันธมิตรต่างๆนี้ได้ดีที่สุดคือการเดินทางไปโรดโชว์ หรือการจับคู่ทางธุรกิจในประเทศจีน บางคนอาจเกิดข้อสงสัยว่าทำไมบริษัทจีนเค้าถึงจะสนใจมาร่วมมือกับบริษัทไทยอย่างเรา เพราะบริษัทจีนนั้นใหญ่กว่าบริษัทไทยเสียอีก แต่ทราบมั้ยครับว่าถึงแม้เราจะมองบริษัทในประเทศจีนใหญ่โตก็ตามเมื่อเทียบกับบริษัทในไทย ยังมีบริษัทจีนไม่น้อยที่อยากร่วมมือกับบริษัทไทยที่มีประสิทธิภาพ เพราะว่าการเปิดกิจการต่างแดนนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนพอสมควรและใช้เงินลงทุนเยอะ นั่นก็แปลว่าบริษัทจีนมาไทยก็ต้องการพันธมิตรที่ดีในไทยเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าเราสามารถยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจในส่วนที่เขาขาดได้ ก็จะสามารถร่วมมือกันได้แบบ win-win ครับ
วิธีการหาพันธมิตร ที่ดีที่สุดคือการทำการจับคู่ทางธุรกิจผ่านงานมหกรรมหรือประสานกับทางกงสุลและทูตพาณิชย์ในเมืองหลักต่างๆ เพื่อที่จะให้แนะนำบริษัทจีนที่ไว้วางใจได้ มาทำการพูดคุยถึงแนวทางการร่วมมือและการแบ่งผลประโยชน์ ก่อนที่ลงนามเซ็นข้อตกลงเอ็มโอยูเพื่อบันทึกความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย แล้วค่อยสลับกันเยี่ยมชมธุรกิจของกันเองเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ ก่อนจะร่วมมือกันได้
แม้ภาพลักษณ์ของบริษัทจีนที่มีต่อสายตาคนส่วนใหญ่ในโลกอาจจะไม่ค่อยดีนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บริษัทจีนชอบทำผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบ หรือการต่อรองที่โหดเหี้ยม รวมถึงการที่คนจีนมักจะตัดคนกลางออก แต่เราต้องเข้าใจว่าไม่ใช่บริษัททุกบริษัทในจีนจะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจ และท่านควรจะหาพันธมิตรที่ไว้ใจได้ในเมืองจีนเพื่อที่จะพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วครับ
บทที่ 7 ก้าวเดินไปด้วยกัน ทุกวิกฤตมีโอกาส การขึ้นครองอำนาจของประเทศจีนอย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการหลายภาคส่วนอาจจะปรับตัวไม่ทัน ซึ่งจะมองเป็นวิกฤติหรือเป็นโอกาสก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีความรู้ความสามารถและเตรียมตัวพร้อมมากแค่ไหน หวังว่าบทความนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ท่านผู้อ่านจะเข้าใจถึงโอกาสในตลาดจีน พฤติกรรมของผู้บริโภคจีน ช่องทางการขายและการตลาด รวมทั้งวิธีการต่อยอดธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยการหาพันธมิตรจีน ซึ่งสุดท้ายจะสามารถทำให้ท่านต่อยอดและผลักดันสินค้าของท่านสู่ตลาดจีนได้สำเร็จครับ
ถ้าท่านใดสนใจปรึกษาเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อมาได้นะครับ ผมและทีมงานพร้อมที่จะช่วยท่านสุดความสามารถให้เดินหน้าผลักดันธุรกิจของท่านสู่ความสำเร็จครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่เป็นผู้ประกอบการใจกล้า ผลักดันผลิตภัณฑ์ไทยให้ไปสู่แดนมังกร เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ขณะเดียวกันมีใจเปิดกว้างรับความรู้ใหม่ๆโดยไม่มีเงื่อนไข หวังว่าเราจะได้ร่วมมือร่วมใจเดินหน้าพัฒนาประเทศไทยด้วยกันนะครับ “มา Level Up ด้วยกันเถอะครับ” #บกตลาดจนดวยการตลาดออนไลนจน #Alipay #ePayment #ดจตอล #weibo #อาลบาบา #wechat #ตลาดจน #การตลาดจน #การตลาดออนไลนจน #วแชท