top of page

My Items

I'm a title. ​Click here to edit me.

เผยกลยุทธ์ลับ! ทุเรียนจันทบุรีพิชิตตลาดจีน ดีลหมื่นล้าน เทคโนโลยีล้ำยุคที่คุณไม่ควรพลาด!

เผยกลยุทธ์ลับ! ทุเรียนจันทบุรีพิชิตตลาดจีน ดีลหมื่นล้าน เทคโนโลยีล้ำยุคที่คุณไม่ควรพลาด!

ในการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนเกม, ตัวแทนการค้าไทยปิดดีลสุดพิเศษกับ Shanghai East Best Foreign Trade (SEBFT) และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี Tencent ของจีน โดยนำเข้าทุเรียนจากจันทบุรีไปจีนจำนวนมหาศาล 3,000 ตู้ มูลค่าอลังการกว่า 10,000 ล้านบาท และข่าวดีคือ 400 ตู้แรกกำลังเดินทางไปจีนแล้ว พร้อมจะถึงภายในเดือนเมษายนนี้! แต่ที่จะเป็นประเด็นร้อนแรงจริงๆ คือ ทุเรียนทุกลูกจะถูกติดตั้งด้วยรหัส QR ที่มองไม่เห็น เป็นลายนิ้วมือดิจิทัลที่ Tencent ออกแบบมา รหัส QR นี้ไม่ใช่แค่รหัสธรรมดา แต่เป็นกุญแจสู่ความถูกต้อง, ตรวจสอบได้ว่าทุเรียนนั้นมาจากไทยอย่างแท้จริง พร้อมเปิดตัวในเดือนเมษายนนี้ เทคโนโลยีนี้เป็นการยืนยันความเป็นของแท้ รับประกันว่าสิ่งที่คุณเห็นคือสิ่งที่คุณได้ - ทุเรียนไทยแท้ ไม่มีปลอม เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับทุเรียนเท่านั้น แต่เป็นการยืนยันความไว้วางใจและคุณภาพของผลิตผลทางการเกษตรของไทย เป็นโล่ป้องกันของปลอม และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรของไทยอย่างมาก และยังมีอะไรอีกมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้น - แพลตฟอร์มขายสินค้าในจีนแบบ door-to-door ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงวงการในอีกประมาณ 45 วัน พร้อมที่จะสอนพ่อค้าแม่ค้าคนไทยเกี่ยวกับการค้าขายบน e-commerce เปิดทางใหม่ในตลาดดิจิทัล เตรียมตัวให้พร้อม เพราะความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-จีนเพิ่งได้รับการอัพเกรด อย่างเต็มรูปแบบ https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/80917 #TODAYBizview #MakeTomorrowTODAY

ตลาดอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน: เหมืองทองสำหรับ SME ไทย ที่ใช้โมเดลคาโน

ตลาดอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน: เหมืองทองสำหรับ SME ไทย ที่ใช้โมเดลคาโน

บทนำ: ตลาดอีคอมเมิร์ซของจีน ที่มีการซื้อขายสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 และมีฐานผู้บริโภคที่เกิน 850 ล้านคน นำเสนอโอกาสที่ไม่มีที่เปรียบเทียบสำหรับ SME ไทย ตลาดดิจิทัลที่กว้างใหญ่นี้ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้บริโภคที่กระหายสินค้านานาชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ให้พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์สำหรับสินค้าไทย ตั้งแต่อาหารเลิศรสไปจนถึงงานฝีมือศิลปะ โมเดลคาโน: เพิ่มเสน่ห์สินค้าไทยในจีน: การจำแนกประเภทความต้องการของผู้บริโภคตามโมเดลคาโน ให้ SME ไทยมีกรอบกลยุทธ์ในการปรับสินค้าให้เข้ากับรสนิยมอันซับซ้อนของผู้บริโภคชาวจีนที่ช้อปออนไลน์ *คุณภาพที่ต้องมี: ในตลาดที่ฐานผู้บริโภคดิจิทัลเติบโตขึ้นกว่า 10% ในเวลาเพียงหนึ่งปี การตอบสนองความคาดหวังพื้นฐานเป็นขั้นตอนแรกสำหรับสินค้าไทยที่จะเข้าสู่ตลาด *คุณภาพแบบมีมิติ: เมื่อพิจารณาว่า 60% ของผู้บริโภคออนไลน์ชาวจีนมองหารสชาตินานาชาติ การฝังเอกลักษณ์ไทยลงในสินค้าสามารถเพิ่มเสน่ห์ได้อย่างมาก *คุณภาพที่น่าประหลาดใจ: ด้วยการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 20% ในปี 2023 SME ไทยที่ผสมผสานวิธีการที่ยั่งยืนเข้ากับสินค้าของตนสามารถดึงดูดกลุ่มนี้ได้ *คุณภาพที่ไม่มีผลกระทบ: การระบุและลดทอนประเด็นที่ไม่ส่งผลต่อความพึงพอใจช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถใช้ทรัพยากรในประเด็นที่สร้างความแตกต่างจริงๆ ตามความชอบของ 30% ของผู้บริโภคจีนที่ให้ความสำคัญกับความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้า *คุณภาพที่ควรหลีกเลี่ยง: การเข้าใจความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาเรื่องราวและความเชื่อของผู้บริโภคชาวจีนสามารถช่วยป้องกันการทำผิดพลาดที่อาจทำให้ 15% ของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องวัฒนธรรมไม่พอใจ ใช้ประโยชน์จากสถิติ eCommerce ล่าสุดของจีน: สถิติปี 2023 ที่ล่าสุดเน้นย้ำถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของภาค eCommerce ของจีน ด้วยการเพิ่มขึ้นของธุรกรรมข้ามพรมแดนถึง 15% ต่อปี สำหรับ SME ไทย นี่คือโอกาสทองที่จะใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Tmall Global และ JD Worldwide ซึ่งรายงานว่ามีการเพิ่มขึ้นของการลิสต์สินค้าต่างประเทศถึง 20% โดยเน้นไปที่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินค้านานาชาติในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน สรุป:การรวมโมเดลคาโนกับเทรนด์และสถิติ eCommerce ล่าสุดจากจีน ให้ SME ไทยมีกลยุทธ์ที่มีพลังในการเจาะตลาดที่มีศักยภาพสูงนี้ ด้วยฐานผู้บริโภคดิจิทัลที่มหาศาลและตลาดค้าปลีกออนไลน์ที่มีมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ โอกาสสำหรับสินค้าไทยนั้นมีอย่างกว้างขวาง โดยเน้นที่ประเภทความพึงพอใจของลูกค้าตามโมเดลคาโนและปรับให้สินค้าตรงกับความชอบที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคชาวจีน SME ไทยสามารถบรรลุการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวาง ความภักดีของลูกค้า และการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนที่มีพลวัต สำหรับ SME ไทย การก้าวไปสู่ความสำเร็จในตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อรสนิยมและความชอบที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลาของผู้บริโภคดิจิทัล โดยใช้โมเดลคาโนเป็นเข็มทิศในการนำทางตลาดดิจิทัลอันกว้างใหญ่ของจีน พร้อมกับการเน้นที่คำสำคัญสำหรับ SEO อย่าง "การตลาดจีน" และ "SME ไทย" เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นและการเข้าถึงของสินค้าไทยในตลาดออนไลน์ของจีน โมเดลคาโน (Kano Model) เป็นเครื่องมือที่พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ โนริอากิ คาโน ในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยโมเดลนี้จะจำแนกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์หรือบริการออกเป็นห้าประเภทตามผลกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า ดังนี้: คุณภาพที่จำเป็น (Must-be Quality): เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ลูกค้าคาดหวังและถือว่าเป็นข้อกำหนดเริ่มต้น หากขาดหายไปลูกค้าจะไม่พอใจ แต่การมีอยู่ของคุณสมบัตินี้ไม่ได้ทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจเพิ่มขึ้น คุณภาพแบบมีมิติ (One-dimensional Quality): เป็นคุณสมบัติที่ความพึงพอใจของลูกค้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างเชิงเส้นตามปริมาณหรือคุณภาพของคุณสมบัตินี้ คุณภาพที่น่าประหลาดใจ (Attractive Quality): เป็นคุณสมบัติที่สามารถสร้างความตื่นเต้นและความพึงพอใจเพิ่มเติมเมื่อมีอยู่ แต่หากขาดหายไปไม่ได้ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่พอใจ คุณภาพที่เป็นกลาง (Indifferent Quality): เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีผลกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีก็ตาม คุณภาพที่ควรหลีกเลี่ยง (Reverse Quality): เป็นคุณสมบัติที่อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่พอใจหากมีอยู่ในผลิตภัณฑ์หรือบริการ การใช้โมเดลคาโนช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการมุ่งเน้นที่คุณสมบัติที่จะสร้างความพึงพอใจและความประหลาดใจให้กับลูกค้า และหลีกเลี่ยงคุณสมบัติที่อาจนำมาซึ่งความไม่พอใจ 1. คุณภาพที่จำเป็น (Must-be Quality) ตัวอย่าง: สมาร์ทโฟนที่มีฟังก์ชันการโทรและการส่งข้อความ คำอธิบาย: ฟังก์ชันพื้นฐานของการโทรและการส่งข้อความเป็นความคาดหวังพื้นฐานของผู้บริโภคเมื่อซื้อสมาร์ทโฟน หากขาดหายไปจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่พอใจอย่างมาก 2. คุณภาพแบบมีมิติ (One-dimensional Quality) ตัวอย่าง: ความจุแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน คำอธิบาย: ความพึงพอใจของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเมื่อความจุแบตเตอรี่มีมากขึ้น ผู้บริโภคจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อสมาร์ทโฟนมีความสามารถในการใช้งานนานต่อเนื่องมากขึ้น 3. คุณภาพที่น่าประหลาดใจ (Attractive Quality) ตัวอย่าง: ฟีเจอร์การปลดล็อคด้วยใบหน้าในสมาร์ทโฟน คำอธิบาย: ฟีเจอร์นี้ไม่ได้เป็นความคาดหวังหลักจากผู้บริโภคแต่สามารถสร้างความตื่นเต้นและความพึงพอใจเพิ่มเติมเมื่อพวกเขาได้ใช้งาน 4. คุณภาพที่เป็นกลาง (Indifferent Quality) ตัวอย่าง: สีของเคสสมาร์ทโฟนในกล่อง คำอธิบาย: สีของเคสอาจไม่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคบางคนอาจไม่ใช้เคสที่ให้มาหรือเลือกซื้อเคสเพิ่มเองตามความชอบส่วนตัว 5. คุณภาพที่ควรหลีกเลี่ยง (Reverse Quality) ตัวอย่าง: ความซับซ้อนในการตั้งค่าสมาร์ทโฟน ตัวอย่างการออกแบบยาดมโดยใช้โมเดลคาโนสำหรับทั้ง 5 ประเภทคุณภาพ: 1. คุณภาพที่จำเป็น (Must-be Quality) ตัวอย่าง: ความสามารถในการบรรเทาอาการคัดจมูกของยาดม คำอธิบาย: การที่ยาดมสามารถช่วยให้รู้สึกโล่งจมูกและหายใจได้สะดวกเมื่อมีอาการคัดจมูกเป็นความคาดหวังพื้นฐานของผู้บริโภค หากยาดมไม่สามารถทำตามฟังก์ชั่นนี้ได้ จะทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ 2. คุณภาพแบบมีมิติ (One-dimensional Quality) ตัวอย่าง: ระยะเวลาในการบรรเทาอาการของยาดม คำอธิบาย: ความพึงพอใจของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นเมื่อยาดมสามารถบรรเทาอาการได้นานขึ้น ยาดมที่มีผลลัพธ์ที่ยาวนานสามารถสร้างความพึงพอใจมากขึ้นให้กับผู้บริโภค 3. คุณภาพที่น่าประหลาดใจ (Attractive Quality) ตัวอย่าง: กลิ่นหอมสดชื่นจากสมุนไพรธรรมชาติในยาดม คำอธิบาย: การเพิ่มกลิ่นหอมที่สดชื่นและผ่อนคลายจากสมุนไพรธรรมชาติอาจไม่ใช่ความคาดหวังหลัก แต่สามารถเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ใช้เมื่อพบว่ายาดมมีลักษณะนี้ 4. คุณภาพที่เป็นกลาง (Indifferent Quality) ตัวอย่าง: ขนาดของบรรจุภัณฑ์ยาดม คำอธิบาย: ขนาดของบรรจุภัณฑ์อาจไม่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคมากนัก บางคนอาจชอบบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กที่พกพาสะดวก ในขณะที่บางคนอาจไม่คำนึงถึงขนาดเป็นพิจารณาหลัก 5. คุณภาพที่ควรหลีกเลี่ยง (Reverse Quality) ตัวอย่าง: ความรู้สึกแสบร้อนมากเกินไปเมื่อใช้ยาดม คำอธิบาย: ความรู้สึกแสบร้อนที่มากเกินไปอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่สบายและไม่พอใจ การออกแบบยาดมควรหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่รุนแรงนี้เพื่อไม่ให้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก

กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนความนิยมของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย

กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนความนิยมของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย

บทนำ: การเจาะลึกการตลาดจีนเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย การตลาดจีนไม่เพียงแต่เป็นการเปิดประตูสู่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยได้เผยแพร่คุณค่าและเอกลักษณ์ของตนไปยังผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ในบทความนี้ เราจะสำรวจวิธีการที่ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดจีนในการสร้างแบรนด์และเพิ่มยอดขายในตลาดจีน ความเข้ากันได้ทางวัฒนธรรมและการตลาดจีน การตลาดจีนสำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมและค่านิยมของผู้บริโภคจีน เพื่อให้สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกับพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์การตลาดจีน: ออนไลน์และออฟไลน์ การผสมผสานกลยุทธ์การตลาดออนไลน์และออฟไลน์เป็นสิ่งสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในจีน การใช้โซเชียลมีเดีย, อีคอมเมิร์ซ และการตลาดผ่านคนดังหรือ KOLs สามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นการซื้อ การปรับตัวเข้ากับตลาดจีน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่ประสบความสำเร็จในการตลาดจีนมักมีการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคจีน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของส่วนผสม, รสชาติ หรือแม้กระทั่งบรรจุภัณฑ์ ความสำคัญของมาตรฐานและรับรองคุณภาพ การมีมาตรฐานสากลและการรับรองคุณภาพเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นและน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในตลาดจีน การสร้างสรรค์เรื่องราวแบรนด์และการเล่าเรื่อง เรื่องราวของแบรนด์และการเล่าเรื่องที่น่าสนใจสามารถเชื่อมต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้บริโภคได้ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยโดดเด่นและจดจำได้ในการตลาดจีน การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมไม่เพียงแต่ในผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตลาดและการจัดจำหน่าย ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยสามารถแข่งขันและประสบความสำเร็จในการตลาดจีนได้ การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค การศึกษาและเข้าใจพฤติกรรม, ความต้องการ และวิถีชีวิตของผู้บริโภคจีนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การตลาดจีนต้องการการวิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและรักษาความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ในสายตาผู้บริโภค คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการที่ต้องการเจาะตลาดจีนควรให้ความสำคัญกับการศึกษาตลาด, การวางแผนกลยุทธ์ที่มีความเหมาะสม, การใช้เครื่องมือทางการตลาดที่ทันสมัย และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและค่านิยมของผู้บริโภคจีน ข้อสรุป การตลาดจีนเป็นสนามที่ท้าทายแต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ด้วยการเตรียมตัวอย่างดีและการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยสามารถสร้างความนิยมและความสำเร็จในตลาดจีนได้อย่างยั่งยืน

Alibaba ทุบสถิติโลก ยอดขายวันคนโสด

Alibaba ทุบสถิติโลก ยอดขายวันคนโสด

ควันหลงจากเทศกาลลดราคา ช็อปปิ้งออนไลน์ ในวันคนโสด 11.11 หลายคนก็น่าจะได้ช็อปของกันสนุกมือไปแล้ว ส่วนในจีนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอีเว้นท์ชื่อดังนี้ ก็มีการทำสถิติใหม่ๆออกมา ในสถานการณ์ที่หลายฝ่ายอาจจะมองว่าจีนกำลังเข้าสู่ช่วงชะลอทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับผู้บริโภคและเจ้าของร้านค้าออนไลน์ทั่วไปแล้ว นี่เป็นช่วงนาทีทองเลย แม้แต่แบรนด์ดังๆจำนวนมากก็ต้องเข้าร่วมกับช่วงนี้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็จะตกขบวนไป สำหรับในปี 2021 นี้มีเรื่องน่าสนใจหลายอย่าง เช่น 1.Alibaba เพิ่มทำลายสถิติ ยอดขายเดิมของตัวเองในปีก่อนลงเรียบร้อยแล้ว โดยในวันที่ 11 พ.ย. สามารถทำยอดขายผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ได้มากถึง 5.5 แสนล้านหยวน (ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 8% ที่เคยทำไว้ 4.9 แสนล้านหยวน 2.ยอดขายที่เกิดขึ้นอาจนับว่าสวนทางกับการที่รัฐบาลจีนออกมาตรการใหม่ๆเพื่อป้องกันการผูกขาดของบริษัทด้านเทคโนโลยีของจีน 3.JD. com เป็นอีกหนึ่งบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่ทำยอดขายได้มากใน 11.11 ตามหลังเพียง Alibaba เท่านั้น โดยทำยอดขายได้ถึง 3.4 แสนล้านหยวน เพิ่มจากปีก่อนถึง 28 ที่ทำยอดขายได้ 2.7 แสนล้านหยวน 4.คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ แล้วคนจีนซื้ออะไรกันมากที่สุดในวันนั้น จากข้อมูลของทั้ง Alibaba และ JD พบว่า สินค้ายอดนิยมคือกลุ่ม Luxury และกลุ่มมือถือสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะ iPhone ของ Apple เรียกว่าเป็นช่วงที่ลูกค้าชาวจีนรอให้มีการลดราคาสำหรับของกลุ่มนี้โดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ 5.มีข้อมูลเพิ่มว่า แบรนด์ท้องถิ่นของจีนทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มตลาดรายได้น้อยและเมืองขนาดเล็กในจีนที่มียอดขายในภาพรวมเพิ่มขึ้นกว่า 77% แสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน และตลาดก็ยังมีพื้นที่อีกมากรออยู่ด้วย ที่มา https://www.cnbc.com/2021/11/12/china-singles-day-2021-alibaba-jd-hit-record-139-billion-of-sales.html

ตำนานธุรกิจจีน จางรุ่ยหมิน แห่ง Haier ลงจากตำแหน่ง

ตำนานธุรกิจจีน จางรุ่ยหมิน แห่ง Haier ลงจากตำแหน่ง

ในวงการธุรกิจจีน ชื่อของ จางรุ่ยหมิน ถือว่าเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการ เพราะเขาคือประธานบริหารของบริษัท Haier ผู้ผลิต ตู้เย็น และเครื่องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า รายใหญ่ของจีน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ดังแรกๆของจีนที่หันมาให้ความสำคัญกับการปรับโมเดล ผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานในระดับสากลที่สุด เนื่องจากในยุค 80-90 เวลานั้นสินค้าจีนถูกตราหน้าว่าเป็นของก็อปปี้ด้อยคุณภาพ กระทั่งหลังจากบริษัท Haier ได้ จางรุ่ยหมินก้าวเข้ามาดูแลการผลิตและการบริหาร เขาก็ตัดสินใจครั้งสำคัญ เปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นผู้ผลิตตู้เย็นที่มีคุณภาพได้ในที่สุด ล่าสุด จางรุ่ยหมิน อายุ 72 ปี ได้ลงจากตำแหน่งประธานบริหารแล้ว โดยผู้ที่จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งก็คือ เหลียง ไห่ซาน ซึ่งก็เป็นผู้มีประสบการณ์บริหารคนสำคัญเช่นกัน การลงจากตำแหน่งครั้งนี้ ก็เป็นการส่งสัญญาณอีกครั้งว่า บริษัท Haier อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเร็วๆนี้ก็เป็นได้ บวกกับการที่ จางรุ่ยหมินก็มีอายุมากแล้ว ที่มา https://www.caixinglobal.com/2021-11-06/haier-founder-zhang-ruimin-to-step-down-as-chairman-101801192.html

แจ็คหม่าอันดับร่วง แล้วใครขึ้นอันดับหนึ่ง มหาเศรษฐีจีน

แจ็คหม่าอันดับร่วง แล้วใครขึ้นอันดับหนึ่ง มหาเศรษฐีจีน

จากการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีของจีนล่าสุดอ้างอิงจากเว็บ Hurun พบว่ามีการขึ้นลงอันดับที่น่าสนใจมาก เมื่อปรากฏว่า แชมป์เก่าอย่าง แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba เสียตำแหน่งคนรวยที่สุดในจีนไปแล้ว โดยร่วงลงสู่อันดับที่ 5 จากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยผู้ครองตำแหน่งคนรวยที่สุดอันดับที่ 1 ของจีนล่าสุดก็คือ จงซานซาน อายุ 67 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท Nongfu Spring ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำดื่ม และ ผลิตภัณฑ์ยา อันดับหนึ่งของจีน อีกทั้งเขายังครองตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของทวีปเอเชียในเวลานี้ด้วย มูลค่าทรัพย์สินรวมตามการประเมินอยู่ที่ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ที่น่าสนใจคือ อันดับที่ 2 คนใหม่อย่าง จางอีหมิง แห่งบริษัท Bytedance ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาแพลทฟอร์มดังอย่าง Tiktok มีทรัพย์สินรวยเพิ่มขึ้นมากจนพุ่งขึ้นมาถึง 28 อันดับ แล้วครองอันดับที่ 2 ตามด้วย เจิ้งอี้ฉวิน แห่ง CATL บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์แบตเตอรี่ชื่อดัง ที่พุ่งขึ้นมาครองอันดับที่ 3 นอกจากนี้ จีนยังขึ้นกลายเป็นประเทศที่มีอภิมหาเศรษฐี หรือระดับ Billionaires มากที่สุดในโลก โดยอยู่ที่ 1,058 คน เหนือกว่าสหรัฐซึ่งมีอยู่ที่ 696 คน อย่างไรก็ตามในแง่ของ ความเท่าเทียมทางรายได้ และความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน จีนยังถือว่าอยู่ในระดับต้นๆของโลก แม้ว่าจีนจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้มากที่สุดในโลกในช่วงสิบปีหลังก็ตาม แต่ภาพรวมของรายได้ประชากรก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น้อยอยู่ ถึงกระนั้นทางการจีนก็ได้ประกาศไปว่าคนจีนในระดับที่ยากจนสุดขีด หรือถึงขั้นที่ต้องเสียชีวิตเพราะความอดอยากนั้นไม่มีแล้วในประเทศ ที่มา https://www.hurun.net/en-US/Rank/HsRankDetails?pagetype=rich

แจ็ค หม่า อันดับร่วง แต่ Alibaba ยังเป็นแบรนด์จีนอันดับ 1 ในตลาดโลก

แจ็ค หม่า อันดับร่วง แต่ Alibaba ยังเป็นแบรนด์จีนอันดับ 1 ในตลาดโลก

แม้ว่า แจ็ค หม่า จะเสียตำแหน่ง คนรวยที่สุดในจีนล่าสุดในปี 2021 ไปแล้ว โดยคนที่ขึ้นครองแชมป์อภิมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในเวลานี้ของจีนคือ จงซานซาน แห่งบริษัท Nongfu Spring ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำดื่มและผลิตภัณฑ์ยาอันดับหนึ่งของจีน แต่ถ้าในแง่ของมูลค่าแบรนด์สัญชาติจีน ปรากฏว่าบริษัทที่ครองมูลค่าแบรนด์อันดับหนึ่งสำหรับตลาดในระดับโลก พบว่าบริษัท Alibaba ได้ครองแชมป์แบรนด์อันดับหนึ่งของจีนในระดับ Global ตามการประเมินของ BrandZ ซึ่งจัดอันดับบริษัทและแบรนด์ดังทั่วโลกเป็นประจำทุกปีและแทบทุกไตรมาส ส่วนสาเหตุที่ทำให้ Alibaba ครองแชมป์ คาดว่ามาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความมีอิทธิพลต่อตลาด การดึงดูดนักลงทุน ความมีชื่อเสียงและการยอมรับในต่างประเทศ (นอกจากในจีน) ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามาจากอิทธิพลและชื่อเสียงของ แจ็ค หม่า เช่นกัน สำหรับอันดับที่ 2 ตามมาติดๆคือ Tencent ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะเจ้าแห่งวงการเกมออนไลน์ในจีนที่สามารถบุกตลาดในต่างแดนได้ ส่วนอันดับที่ 3 ไม่ใช่บริษัทด้านเทคโนโลยี ไอที และอีคอมเมิร์ซ แต่เป็น Moutai ซึ่งเป็นผู้ผลิตสุราชั้นนำของจีน สำหรับสถานการณ์ของ Alibaba หลังจากนี้คาดว่าจะมีแนวโน้มในเชิงบวกเพิ่มมากขึ้น หลังจากบริษัทเองก็มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามกฎและมาตรการที่รัฐบาลจีนออกมาเพื่อป้องกันและลงโทษบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าผูกขาดทางธุรกิจมากเกินไป ซึ่ง Alibaba ก็เริ่มที่จะกระจายธุรกิจหลักออกไปด้านอื่นมากขึ้นด้วย ที่มา https://www.chinainternetwatch.com/30833/brandz-top-brands/

พิพิธภัณฑ์จีนบุกตลาด NFT วัยรุ่นจีนซื้อภาพดาบโกวเจี้ยนหมดเกลี้ยง

พิพิธภัณฑ์จีนบุกตลาด NFT วัยรุ่นจีนซื้อภาพดาบโกวเจี้ยนหมดเกลี้ยง

เป็นเรื่องฮือฮาไม่น้อยสำหรับวงการ NFT บนโซเชียลจีน แล้วยังไปถึงบนทวิตเตอร์ เมื่อพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่หูเป่ย ได้ประกาศขาย ภาพวาดแบบดิจิทัลของดาบโบราณจีนที่เชื่อว่าเป็นของ เยว่หวางโกวเจี้ยน หนึ่งในผู้นำแคว้นใหญ่ของจีนเมื่อสมัยชุนชิว-จ้านกว๋อ โดยสามารถขายหมดทั้ง 10,000 ก็อปปี้ ภาพของดาบดังกล่าวจัดทำเป็น 3D ซึ่งเป็นหนึ่งในศิลปะแบบใหม่ที่พิพิธภัณฑ์หลายแห่งของจีนนิยมจัดทำ ในฐานะของ ศิลปะดิจิทัล ซึ่งทางยุโรปให้ความสำคัญกับศิลปะสายนี้มานานกว่าสองทศวรรษแล้ว ทางจีนเองก็เริ่มจัดทำศิลปะแนวนี้มากขึ้นด้วย โดยมีการจำหน่ายทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์ สำหรับผลงานภาพดิจิทัล ดาบของโกวเจี้ยน มีการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางแพลทฟอร์มดังอย่าง Alipay โดยใช้ Mini-Program ยอดนิยมอย่าง AntChain ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางที่ได้รับความนิยมมากในจีนเวลานี้สำหรับการซื้อขาย NFT ที่เป็นกลุ่มงานศิลปะจากวัฒนธรรมจีนโบราณ โดยมีการสำรวจและรายงานจากสถาบันตุ้นหวงของจีนที่สำรวจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเครือข่ายและบล็อกเชน พบว่าผู้สนใจและซื้อขายงานศิลปะเหล่านี้ผ่านทางแพลทฟอร์มมือถือ ส่วนมากคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีน โดยเฉพาะตั้งแต่ Gen-Y ลงมา ซึ่งถือว่ามีกำลังซื้อในระดับหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้มีการพบว่าภาพศิลปะดิจิทัลที่ได้รับความนิยมเกินคาดก็คือภาพแบ็คกราวน์ผนังถ้ำที่ก่านซู ซึ่งทำยอดขายบน Alipay ได้ราว 8,000 ชิ้น ปล.บางทีก็แปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมภาคส่วนของไทยเราที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ไม่ทำอะไรแบบนี้ออกมาโปรโมทบ้างนะ ที่มา https://technode.com/2021/11/05/chinese-museums-and-galleries-tap-blockchain-tech-to-digitize-ancient-chinese-artifacts/

ทีม E-Sport จีน โค่นเกาหลีใต้ คว้าแชมป์ League of Legends

ทีม E-Sport จีน โค่นเกาหลีใต้ คว้าแชมป์ League of Legends

เป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จระดับโลกของทีมกีฬา E-Sport -องจีน หลังจากพวกเขาเอาชนะการแข่งขันในศึกของเกมดังอย่าง League of Legends ด้วยการโค่นเกาหลีใต้ลงได้ 3-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเทรนด์ดังอยู่ในโซเชียลของจีนตลอดวันนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาวงการกีฬา E-Sport ของจีนมีการเติบโต้ก้าวหน้าไปอย่างมาก ซึ่งในโซเชียลจีนก็กล่าวกันว่าความสำเร็จนี้เป็นผลลัพธ์จากการแข่งขันและความก้าวหน้าของวงการในจีนเองที่ส่งผลต่อผู้เล่นในการพัฒนาความสามารถ ซึ่งคาดว่าจะทำให้จีนเป็นหัวแถวของวงการในระดับโลกด้วย ปัจจุบันวงการ E-Sport ของจีนและในหลายประเทศเริ่มยกระดับกลายเป็นอุตสาหกรรมและธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาล มีผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นในภาพรวม แล้วยังรวมถึงระบบบริหารจัดการ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องด้วย สำหรับในจีนนั้นมีผู้เล่นเกมออนไลน์จำนวนมาก ส่งผลต่อการผลิตเกมออนไลน์ออกมามากกว่า 488 ล้านเกม ทั้งนี้ในปี 2019 ธุรกิจเกมออนไลน์สามารถทำรายได้มากถึง 9.4 หมื่นล้านหยวน กระทั่งในปี 2020 จึงเพิ่มขึ้นมากถึง 1.36 แสนล้านหยวน สัดส่วนเพิ่มมากขึ้นถึง 44% แล้วยังคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้คนต้องกักตัวจากโควิด-19 ทำให้ธุรกิจเกมเติบโตขึ้นมากด้วย ทั้งนี้มีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจมากสำหรับผู้เล่น E-Sport ในจีน คือการที่ผู้เล่นจำนวนไม่น้อยล้วนเป็นวัยรุ่นและคนที่มีการศึกษาดี จบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง บ้างก็ผันตัวมาจากคนทำอาชีพในสายเทคโนโลยี โปรแกรมเมอร์ และอื่นๆ โดยในปีนี้มีข้อมูลอีกว่า ผู้เล่นเกือบ 95% ที่เข้าร่วมวงการ E-Sport ในจีนปีนี้ จบการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวกับ E-Sport โดยตรงจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติจีนที่หนานจิง แล้วในนั้นก็มีสัดส่วนมากถึง 62% ที่ตัดสินใจทุ่มเทให้อุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มตัวเป็นอาชีพหลักเลย โดยครอบคลุมในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การเข้าร่วมกับบริษัทพัฒนาเกม ออกแบบเกม ไปจนถึงการแข่งขันและในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ที่มา https://www.caixinglobal.com/2021-11-08/shanghai-esports-team-wins-league-of-legends-world-championship-101802149.html

Huobi เริ่มให้แลกเปลี่ยนคริปโตในยุโรปและละตินอเมริกา หลังจีนสั่งระงับ

Huobi เริ่มให้แลกเปลี่ยนคริปโตในยุโรปและละตินอเมริกา หลังจีนสั่งระงับ

ก่อนหน้านี้ แพลทฟอร์มดังอย่าง Huobi ซึ่งเปิดให้บริการมานาน ในฐานะของแพลทฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต ได้ยุติการให้บริการเปิดบัญชีใหม่กับลูกค้าในจีนแผ่นดินใหญ่ไปแล้ว หลังจากทางการจีนที่ปักกิ่งได้ประกาศให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์และสกุลเงิจดิจิทัลอื่นๆเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายจีน ล่าสุด แพลทฟอร์ม Huoboi ได้หาทางออกด้วยการบุกตลาดในระดับโลก โดยเฉพาะตลาดผู้ใช้งานในยุโรป ละตินอเมริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการบุกเข้า รัสเซีย ยูเครน เอเชียอาคเนย์ นอกจากนี้ยังดึงดูดนักลงทุนในอังกฤษและสวิสเซอร์แลนด์ด้วย เจฟฟ์ เม่ย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดของ Huobi ได้กล่าวว่า “ยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับคริปโต รวมถึงการปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ทุกวันนี้มีคนที่เริ่มศึกษาเกี่ยวกับคริปโตและการลงทุนที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ทำให้จำนวนการเทรดมีอัตราเพิ่มขึ้นมากในช่วงหลัง” แม้ว่าสถานการณ์ในจีนช่วงปีที่ผ่านมา จะเข้มงวดกับการกราบปรามการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโต แต่ก็ดูเหมือนว่าการลงทุนแนวนี้จะกลายเป็นกระแสหลักที่มาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มา https://www.caixinglobal.com/2021-11-08/chinese-cryptocurrency-exchange-huobi-ramps-up-global-expansion-amid-domestic-crackdown-101802143.html

จีนสั่งห้ามอินฟลูเอนเซอร์ ทำไลฟ์เชิญชวนการลงทุน

จีนสั่งห้ามอินฟลูเอนเซอร์ ทำไลฟ์เชิญชวนการลงทุน

มีประเด็นเกี่ยวกับการสั่งแบนและห้ามบรรดา Influencer ในการทำ Live Streaming ที่ไปในทางแนะนำการลงทุน รวมถึงการเชิญชวนเปิดบัญชีลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน ทางการจีนได้ออกมาตรการควบคุมการทำ Live Stream ในบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี รวมถึงการจำกัดระยะเวลาในการเข้าใช้งาน Live และเล่นเกมออนไลน์ของเยาวชนด้วย ล่าสุดยังมีมาตรการใหม่ๆที่ออกมาห้ามบรรดา Influencer ในการทำ Live เพื่อแนะนำการลงทุนหรือชักชวนให้เปิดบัญชีการลงทุนใดๆ ทั้งในตลาดหลักทรัพย์หรือการลงทุนในรูปแบบต่างๆ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มาตรการนี้ออกมาใช้ ก็เนื่องจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งมีเรื่องของความสำเร็จและความนิยมของบรรดา Influencer ที่มีพลังในการชักชวน การรีวิว ให้คนเข้ามาซื้อสินค้ากันแบบถล่มทลาย ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นกันเยอะมาก นอกจากนี้ในช่วงหลังเริ่มมีการพบว่าบรรดา Influencer เหล่านี้เริ่มขยายขอบเขตในการขายสินค้าและรีวิว มาเป็นการเชื้อเชิญให้เปิดบัญชีลงทุนเพิ่มด้วย แต่การชักชวนการลงทุนดังกล่าวของเหล่า Influencer เริ่มถูกจับตามองว่าเป็นการหารายได้ที่อาจมีกลยุทธ์ซ้อนเร้น อีกทั้งคนเหล่านี้ไม่ได้รับผิดชอบต่อการชวนลงทุนของผู้เปิดบัญชีอีกต่างหาก ซึ่งกลายเป็นว่าคนที่เจอปัญหาขาดทุนก็กลายเป็นเหล่าลูกค้า แต่สถานะทางการเงินของเหล่า Influencer ยังคงมีมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2020 ที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาด มีการพบลักษณะการหารายได้ของเหล่า Influencer ในแง่นี้มากขึ้น ทางการจีนจึงหาทางป้องกันปัญหาดังกล่าวที่อาจจะกลายเป็นปัญหาระยะยาว จึงออกมาตรการสั่งห้าม และถือว่าผู้ละเมิดเป็นการทำผิดกฎหมายชัดเจน ที่มา https://www.caixinglobal.com/

กระแสแฮชแท็กดังใน Weibo ต่อต้านการทำงานแบบ 996

กระแสแฮชแท็กดังใน Weibo ต่อต้านการทำงานแบบ 996

ในโซเชียลมีเดียจีนยอดนิยมอย่าง Weibo เริ่มมีการติดแฮชแท็กต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานในแบบ 996 ซึ่งใช้กันในบริษัทหลายแห่งของจีน ซึ่งตัวเลขที่ว่านี้มาจากระยะเวลาในการทำงานตั้งแต่เวลา 9.00am-9.00pm และทำงาน 6 วัน โดยมีวันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์ ทำให้เรียกรวมกันว่า 996 การติดแฮชแท็กนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เป้าหมายเพื่อต้องการบอกว่าการทำงานแบบ 996 ควรยกเลิกได้แล้ว โดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นและคนทำงานตั้งแต่ช่วงอายุ 25-40 ปี จำนวนไม่น้อยเลยที่มองว่าวัฒนธรรมการทำงานหนักเกินไปแบบนี้ควรเปลี่ยนแปลง เพราะมันส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจและร่างกาย โดยเฉพาะการทำให้เกิดความเคร่งเครียดสูง การแข่งขันที่สูงในทุกวงการ อีกทั้งรายได้ก็ไม่ได้ว่าได้มากขึ้นตามมาอย่างที่ควร แม้ว่าจีนในยุคใหม่จะประสบความสำเร็จมากในการพาประเทศหลุดพ้นจากความยากจน โดยเฉพาะคนจีนในชนบท เรียกง่ายๆว่าสัดส่วนของเวลาในการทำงานและรายได้มันสวนทางกัน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า วัฒนธรรมการทำงานหนักหน่วงแบบนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ช่วยให้จีนก้าวกระโดดจากประเทศด้อยพัฒนาและชาติยากจน ให้กลายมาเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจีนได้ในเวลานี้นั่นเอง ซึ่งหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนที่ใช้แนวทาง 996 แล้วประสบความสำเร็จมากก็คือ Alibaba นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีงานวิชาการจำนวนหนึ่งในช่วงหลังเริ่มชี้ว่ามันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงประสิทธิภาพที่ออกมาไม่ได้ว่าดีอย่างที่คิด ที่สำคัญคือเรื่องนี้มีผลทำให้วัยรุ่นจีนช่วงหลังเริ่มไม่อยากมีลูกกันมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาให้รัฐบาลจีนต้องออกมากระตุ้นการจับคู่ของวัยรุ่น บางทีนโยบาย 996 ก็อาจจะได้รับการเปลี่ยนแปลงก็ได้ เพราะเมื่อทางการจีนออกมาตรการควบคุมและลดการให้การบ้านต่อเด็ก รวมถึงการเรียนพิเศษ หลังจากนี้ช่วงเวลาการทำงานก็อาจจะถูกปรับให้ยืดหยุ่นด้วยเหมือนกัน ที่มา https://www.whatsonweibo.com/goodbye-996-weibo-discussions-on-changes-in-overtime-work-culture/

bottom of page