มือใหม่เริ่มส่งออกจีน ควรรู้อะไรบ้าง
ผู้ที่อยากไปลงทุนในจีน แต่ยังสงสัยว่า จะเริ่มต้นส่งออกอย่างไรดี มีคำแนะนำว่า ควรเข้าใจจีนยุคใหม่ก่อน เพราะทุกอย่างไม่เหมือนภาพเดิมจากที่หลายคนคิดไว้เมื่อ 10-20 ปีก่อน โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เคยเดินทางไปประเทศจีนเลยสักครั้ง เพราะเวลานี้ จีนคือชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก และประเทศจีนพัฒนาไปมากในทุกด้าน และจะยังเป็นตลาดที่มีส่วนแบ่งใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันและอนาคตต่อจากนี้ไปอีกหลายสิบปี ทั้งในแง่ของสินค้าปริมาณและคุณภาพ หากท่านจับขบวนไม่ทัน หรือเข้าใจตลาดจีนผิดพลาด อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ครับ มาลองดูกันว่า เรื่องที่ควรเข้าใจจีนยุคใหม่ก่อน มีอะไรบ้าง เข้าใจจีน และสินค้า ก่อนที่จะถามว่า จะขายอะไรดี เราต้องเข้าใจความเป็นจีนยุคใหม่เสียก่อน เนื่องจากคนจีนยุคใหม่มีความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่สูงขึ้น เรามีบทเรียนมากมายให้ย้อนกลับไปศึกษา เช่น Nokia ที่ต้องสิ้นชื่อจากการเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกเพราะความผิดพลาดในการลงทุนที่จีนมาแล้ว ข้อพึงระวังคือ แม้จีนจะพยายามล้างภาพของความเป็นเจ้าแห่งการ Copy ฉบับ “Mad in China” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนพร้อมจะกอบโกยความรู้และการผลิตสินค้าจากทั่วโลกเข้ามาที่ตนเองอยู่เสมอ แล้วจะขายอะไรดี บางทีท่านอาจคิดไม่ถึงว่าสินค้าบางชนิดที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือเป็นสินค้าไทยๆบางชนิด จะทำยอดขายกับคนจีนได้ดีมาก โดยเฉพาะกับคนจีนชนชั้นกลาง และมีกำลังทรัพย์ค่อนข้างสูง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีลักษณะที่เป็น “เศรษฐีใหม่” หลังจากทำงานอย่างหนักในการสร้างตัวและสร้างรายได้ ก็พร้อมที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อตอบสนองความต้อกงารขั้นพื้นฐาน เช่น บ้าน สิ่งอำนวยความสะดวก อาหาร เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนจีนรุ่นก่อนในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมไม่มีโอกาสได้รับ เพราะฉะนั้น สินค้าบางประเภทที่ท่านไม่คิดว่าจะขายได้ มันอาจจะขายได้ เช่นเดียวกัน สินค้าบางประเภทที่ขายดีในเมืองไทย ก็ไม่ได้แปลว่าจะเจาะตลาดจีนได้เช่นกัน นี่จึงเป็นข้อควรระวัง ประเภทสินค้าของเรา แล้วสินค้ากลุ่มไหน ที่น่าจะขายได้ อาจจะยึดสองคำนี้เป็นหลัก คือ “สินค้าที่แปลกใหม่ หรือต้องกินต้องใช้” สินค้าแปลกใหม่ ก็ไม่ได้ต้องการความพิสดารมากนัก แต่อาจจะเป็นอะไรที่ใกล้ตัวและมีความเป็นท้องถิ่น ซึ่งกรณีของไทย อาจจะเป็นสินค้าที่เราคุ้นกันมานานแล้ว แต่มันแปลกสำหรับคนจีน หรือจับต้องได้ง่ายและเชื่อมโยงกับคนจีนได้ (เช่นกรณีของยาอมตราตะขาบ 5 ตัว หรือ นมอัดเม็ดสวนจิตรลดา) สินค้าประเภทนี้มีบางอย่างที่มีความต้องการสูงสำหรับคนจีน ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะคาดหวังเพียงให้ได้สัก 1% ของประชากรจีนกว่า 1,300 ล้านคน เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว สินค้าต้องกินต้องใช้ ก็คือกลุ่ม ผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภค ใช้แล้วหมดไปแต่ละวันหรือแต่ละเดือน นอกจากนี้ยังอาจจะรวมถึงกลุ่มสินค้าหนัก เช่น คู้เย็น โทรทัศน์ ซึ่งเป็นของขายดีในบางเมืองของจีน ที่กำลังมีอัตรา GDP เติบโตขึ้นอย่างมาก ช่องทางการสั่งสินค้า ทุกวันนี้คนจีนเองแทบจะแยกจากกันไม่ออกกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ความสำเร็จอย่างหนึ่งของบริษัทยุคใหม่ในจีนคือการเชื่อมโยงสินค้าและบริการเข้ากับแพลทฟอร์มบนออนไลน์ และรองรับการใช้งานบนมือถือได้ ตัวอย่างเช่น WeChat Alipay เป็นต้น สำหรับช่องทางการสั่งสินค้า เว็บอีคอมเมิร์ซยอดนิยม เช่น Taobao Tmall Aliexpress JD.com เป็นเว็บที่ถูกออกแบบมาเพื่อคนจีนในประเทศ สำหรับการสั่งสินค้า
ความสัมพันธ์ไทย-จีน เนื่องจากที่ผ่านมา จีนกับไทยมีข้อตกลงเรื่องลดภาษีศุลกากร (Customs) ภายใต้กรอบ “เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน” ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ทำให้ปัจจุบันสินค้ามากกว่าร้อยละ 90 ที่ไทยและจีนค้าขายกันอยู่ ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากร หากผู้นำเข้าและส่งออกขอใช้สิทธิ์นั้นตามขั้นตอน แต่ด้วยระบบการค้าของจีน ทำให้ต้องต้องชำระภาษีอีกร้อยละ 13 (สำหรับสินค้าไม่แปรรูป) และร้อยละ 17 (สำหรับสินค้าที่แปรรูป) ทีนี้จะส่งออกอะไรดี ลองดูประเภทสินค้าว่า ของเราอยู่ในกลุ่มไหน สินค้าที่อนุญาตให้นำเข้าจีนได้โดยเสรี (Free Imports) สินค้าไทยส่วนมากที่เข้าไปขายในจีนอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น พวกสินค้าอุปโภคและบริโภคบางชนิด สินค้าที่จำกัดการนำเข้า (Restricted Imports) ต้องขออนุญาตนำเข้าก่อน ส่วนมากเป็นผลผลิตด้านการเกษตร หรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนในฐานะผู้ผลิต เช่น ข้าว น้ำตาล ปุ๋ย ยางพารา ฯลฯ สินค้าห้ามนำเข้า (Prohibited Imports) กลุ่มสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ สุขภาพ หรือสิ่งแวดล้อม เช่น อาวุธ ยาบางประเภท วัตถุระเบิด ฯลฯ เมื่อทราบว่า สินค้าของเราหรือผลผลิตของเราอยู่ในกลุ่มไหน ก็จะได้วางแผนเตรียมการให้เหมาะสม ทั้งการขออนุญาตและอื่นๆด้วยครับ