คนไทยชอบเข้าใจผิดว่า คนจีนต้องค้าขายเก่งไปหมด
อันที่จริงก็ช่วยไม่ได้ เพราะคนไทยไปติดภาพของคนจีนที่อพยพเข้ามาสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองไทยที่เขาเรียกว่ามาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มคนที่เรียกกันว่า “เจ้าสัว” ก็คือคนจีนรุ่นที่ 2-3 ที่ต่อยอดความสำเร็จจากการเข้ามาของบรรพบุรุษชาวจีน แต่อันที่จริง คนจีนที่เข้ามาในเมืองไทยก็มีหลายระดับ และไม่ได้เข้ามาทำมาค้าขายเป็นหลักอย่างเดียว แต่มีกลุ่มที่เข้ามาทำงานราชการและใช้แรงงานเป็นหลักด้วย สำหรับคนจีนที่เข้ามาในเมืองไทยมากที่สุดก็คือจีนแต้จิ๋ว ไหหลำ ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง ฮากกา ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความสำเร็จที่แตกต่างกันไป จีนแต้จิ๋วเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด เข้ามาขายแรงงานเป็นหลัก ต่อมาก็เริ่มสร้างตัวขึ้นจากการค้าขาย แต่จีนที่ค้าขายเก่งๆก็ยังมีจีนฮากกา หรือจีนแคะด้วย ในขณะที่จีนฮกเกี้ยนจะนิยมเข้ามาทำงานราชการหรือไต่เต้าไปทางบัณฑิตและปัญญาชนมากกว่า ความสามารถในการค้าขายของคนจีนนั้น ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะความที่ประเทศบ้านเกิดแม้จะกว้างใหญ่ แต่ทรัพยากรก็ไม่ได้อุดมสมบูรณ์ไปหมด การเพาะปลูกบางพื้นที่ทำได้ยาก ประชากรก็มีมาก ปัญหาความยากจนอดอยากของคนจีนเป็นอันดับต้นๆในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า ต่อรองราคา จึงเป็นเรื่องปกติในสังคมจีน การออกเสียงภาษาจีนที่ดูแล้วเอะอะโวยวาย ก็มีส่วนทำให้คนภายนอกดูแล้วรู้สึกไม่สำรวม ค้าขายกันเอะอะมะเทิ่ง แต่มันคือเรื่องปกติของจีน อีกทั้งนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์นับตั้งแต่ยุคของเติ้งเสี่ยวผิงเป็นต้นมา ได้เปิดเสรีทางการค้ากับชาวบ้าน และการผลิตที่ได้ผลในบางพื้นที่ จึงทำให้คนจีนมีทักษะในการค้าขายเป็นพิเศษ รวมถึงพวกเขายังมีปรัชญาที่ลึกซึ้งหลายข้อเกี่ยวกับการค้าขายที่มีมาแต่โบราณด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ วิถีชีวิตของคนจีน นิยมอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัวใหญ่ สืบทอดตระกูล มีการแต่งงานเพื่อดองกันระหว่างตระกูลคนจีน เพื่อรักษากิจการไว้ ดังนั้นนี่จึงเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้รักษากิจการไว้ได้ แต่ก็ไมได้แปลว่าคนจีนจะค้าขายเก่งไปเสียหมดครับ #คิดถึงการตลาดจีน คิดถึง Level Up Thailand#